“Trump vs Harvard”
.
สัปดาห์ที่แล้ว ข่าวที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศเพิกถอนสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) ในการรับนักศึกษาต่างชาติ ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ จำนวนมาก ที่แพลนสมัครเรียนต่อปริญญาตรีที่ Harvard และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในสหรัฐฯ
.
รวมถึงคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ นักเรียนของ Mission To Top U หลายคนที่เพิ่งสอบติดในปีนี้ และกำลังอยู่ระหว่างทำวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน และเลือกหอพักต่างๆ ก็กังวลกับอนาคตการไปเรียนเช่นกัน ว่าจะยังไงต่อดี?
.
ผมเลยอยากชวนคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ มาทำความเข้าใจสถานการณ์นี้แบบไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป
.
ก่อนอื่นมาดูรายละเอียดของข่าวกันเล็กน้อยครับ
.
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน 2025 รัฐบาล Trump ได้สั่งระงับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางที่จัดสรรให้ Harvard บางส่วน ทำให้ Harvard สูญเสียเงินไปมากถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท จากปกติต้องได้รับ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 300,000 ล้านบาท
.
และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Trump ได้เพิกถอนการรับรองในระบบ Student and Exchange Visitor Program (SEVP) ของ Harvard ซึ่งหมายความว่า Harvard ไม่สามารถรับนักศึกษาต่างชาติใหม่ได้ และนักศึกษาต่างชาติที่กำลังศึกษาอยู่กว่า 6,800 คน (คิดเป็น 27% ของนักศึกษาทั้งหมด) อาจต้องย้ายไปเรียนที่อื่นหรือเสี่ยงต่อการสูญเสียสถานะนักเรียนทางกฎหมาย
.
สาเหตุที่รัฐบาล Trump ให้ไว้คือ Harvard เป็นศูนย์รวมแนวคิดต่อต้านอเมริกา ต่อต้านยิว และสนับสนุนการก่อการร้าย อีกทั้งยังมีกิจกรรมบางส่วนที่ประสานความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 ผู้พิพากษาของศาลรัฐบาลกลางได้ออกคำสั่งชั่วคราวเพื่อระงับการเพิกถอนดังกล่าว ทำให้นักศึกษาต่างชาติยังคงสามารถศึกษาอยู่ที่ Harvard ได้ในขณะนี้
.
แต่ก็ยังมีความกังวลจากหลายฝ่ายอีก ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกหรือไม่
.
ส่วนตัวผมมองว่า สถานการณ์นี้คล้ายกับกลยุทธ์ที่ Trump เคยใช้ในอดีต เช่น การประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนในอัตราสูง แล้วจึงเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีลงในภายหลัง เรียกว่าทำสุดขั้วก่อน เพื่อเปิดฟลอร์ให้ฝ่ายตรงข้ามมาเจรจา
.
การเพิกถอนสิทธิ์ของ Harvard ในการรับนักศึกษาต่างชาติ ก็อาจเป็นการกดดัน เพื่อให้ Harvard และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในสหรัฐฯ ยอมรับเงื่อนไขบางประการของรัฐบาลเช่นกัน
.
จริงๆ แล้ว Trump และรัฐบาลอาจจะไม่กล้าทำลาย Harvard และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ขนาดนั้น เพราะนักศึกษาต่างชาติถือเป็นส่วนสำคัญของระบบการศึกษาของสหรัฐฯ โดยในปีการศึกษา 2023–2024 นักศึกษาต่างชาติมากกว่า 1,000,000 คน ได้สร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึง 43,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
.
นอกจากนี้ ในแง่ของมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Harvard เอง (และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในสหรัฐฯ ที่อาจเจอเรื่องแบบเดียวกันในอนาคต) ก็คงไม่ยอมสูญเสียชื่อเสียงและรายได้จากนักศึกษาต่างชาติไป จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ออกไป
.
ผมจึงอยากแนะนำคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกที่กำลังจะเดินทางไปเรียน ให้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้เดิม แต่ควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมแผนสำรองไว้ในกรณีที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลง
.
ส่วนคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกที่กำลังเตรียมตัวสมัคร ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ควรใช้เวลานี้ในการเตรียมความพร้อม เช่น การสอบ SAT/IELTS/TOEFL รวมทั้งดูแลเกรด AP/A-Level/IB ให้ดี และการทำกิจกรรมที่เสริมโปรไฟล์ให้โดดเด่น เช่น Self-project, Research, Internship เป็นต้น เพราะไม่ว่าจะไปมหาวิทยาลัยใน US หรือจะประเทศอื่นๆ ยังไงก็ต้องทำอยู่ดี
.
และระหว่างนี้ ก็อาจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอื่นๆ เผื่อเป็นทางเลือกกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา หรือออสเตรเลีย เป็นต้น
.
แม้ว่าสถานการณ์ระหว่างรัฐบาล Trump และ Harvard จะสร้างความไม่แน่นอน แต่ผมเชื่อว่าการตัดสินใจสุดโต่งเช่นนี้อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมือง
.
คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกใช้เวลานี้ในการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน และอย่าปล่อยให้ความวิตกกังวลมาขัดขวางความฝันของเรา
.
🧑🎓💼 อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่ 🔽
Line OA: @everlearnx
.
🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก

Related post

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US
เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด
“เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด”.เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้อ่านหนังสือชื่อ “HOME RUN แพ้กี่ครั้งไม่สำคัญ ขอตีโฮมรันครั้งเดียวพอ” ของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ ในตอนหนึ่ง พี่โจ้เล่าถึงเรื่อง Why us ของธุรกิจสินเชื่อกระเป๋าแบรนด์เนม bagforcash พร้อมกับบอกว่า “เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด”.ทันทีที่ผมอ่านตอนนี้จบ ผมนึกถึงน้องๆ ที่กำลังจะสมัครเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Harvard, MIT, Stanford, Oxford, Cambridge ขึ้นมาทันทีเลยครับ.เพราะมหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้มองหาคนมาจ่ายเงินค่าเทอมมา “รับ” ความรู้และ Network ดีดีอย่างเดียว ถ้าต้องการแค่เงิน ผู้สมัครคนไหนก็ให้ได้ แต่มหาวิทยาลัยเหล่านี้มองหาคนที่จะมา “ให้” ต่างหาก เช่น ให้ความรู้เพื่อนร่วมชั้น ให้แรงบันดาลใจเพื่อนร่วมชั้น สร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้แก่มหาวิทยาลัย ทั้งตอนเป็นนักเรียน และหลังเรียนจบไปแล้ว.คนแบบนี้ต่างหาก ที่ทำให้มหาวิทยาลัยยังมีคุณค่าต่อไปในโลกอนาคต และนั่นคือเหตุผลที่มหาวิทยาลัยระดับโลกจะถามคำถามในส่วนของ Supplemental…

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US
เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร
“เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร?”.คุณพ่อคุณแม่ลองจินตนาการตามผมนะครับ ถ้าลูกของเรามีโอกาสยืนอยู่ในลิฟต์กับ Bill Gates หนึ่งในคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกมากที่สุดในยุคนี้ เขาหันมายิ้มให้ลูก ทักทาย แนะนำตัว พร้อมถามสั้น ๆ ว่า “Please tell me a bit about yourself.” ซึ่งอีก 10 วินาทีลิฟต์จะถึงที่หมาย ลูกเราจะพูดว่าอะไรดีครับ?.“ผมเรียนเก่งครับ ได้ GPA 4.0 ทุกเทอม”“หนูเป็นหัวหน้า 3 ชมรม ทำกิจกรรมเยอะค่ะ”“ผมเป็นตัวแทนแข่งวิทยาศาสตร์ระดับชาติครับ”.ฟังดูดีหมดเลยครับ แต่มันยังไม่ทำให้เขาจำลูกของเราได้เลย เพราะประโยคเหล่านั้น ยังไม่แสดงว่า “ตัวตน” ของลูกคืออะไร?.ประโยคเหล่านั้น คือข้อมูล แต่ไม่ใช่เรื่องเล่า ประโยคเหล่านั้น คือสิ่งที่ทำ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เป็น.Harvard ระดับ Undergrad ล่าสุดมีผู้สมัครประมาณ 60,000 คน ได้ตอบรับเข้าเรียนประมาณ 1,900 คน หรือประมาณ 3.2% เท่านั้น มหาวิทยาลัยระดับโลกเหล่านี้ มีกรรมการคัดเลือก…

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US
อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน
“อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน”.เมื่อคะแนนอย่างเดียวมันไม่พออีกต่อไปในโลกของการเรียนต่อระดับโลก.ลองจินตนาการดูนะครับ ลูกเราได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยในฝัน Top 10 ของโลก เพื่อนๆ ในคลาสคือ คนที่ A-Level, IB, AP เกือบเต็ม และ SAT สูงมากๆ ระดับ 1,550++.แต่ไม่มีใครคุยกันเลย.เช้าเข้าเรียน เรียนเสร็จกลับห้อง ในห้องเรียนไม่มีใครตั้งคำถาม ไม่มีใคร Discuss ไม่มีใครลุกขึ้นมา Propose idea ใดๆ ให้อาจารย์ กิจกรรมของชมรมต่างๆ เงียบเหงา ไม่มีคนจัด Event ไม่มีใครทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือสอบ.แล้วจบออกมา คนเหล่านั้นก็เก่งอยู่คนเดียว ไปทำงานเงียบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้สร้างอะไรให้สังคม ไม่ได้ Inspire ใคร ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้น.ฟังดูน่าเศร้าใช่ไหมครับ?.และนี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลย.มหาวิทยาลัยไม่ได้มองหาคนเก่งที่สุด แต่เขามองหาคนที่เก่งพอประมาณ แต่ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างดีขึ้น มารวมกลุ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มหาวิทยาลัย.มหาวิทยาลัยจึงอยากได้นักเรียนที่มี Sense of contribution เช่น นักเรียนที่เข้าเรียนแล้วมีส่วนร่วมใน Class, นักเรียนที่สร้าง Club สร้าง Activity…