“Likable is the new SAT”
ผมมีโอกาสได้จัดงาน MBA Reunion ให้กับศิษย์เก่าคนไทย ที่เรียนจบ MBA จาก US Europe และ Asia โดยได้รับเกียรติจากคุณโจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เจ้าของเพจ “เขียนไว้ให้เธอ” บรรยายเรื่อง Likable ทักษะที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ในยุค AI
ช่วงตอนหนึ่ง คุณโจ้เล่าถึงทักษะแห่งอนาคต ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 4 แบบ ได้แก่ I, T, Y และ X ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์มากๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการจะส่งลูกเรียนต่อ Ivy League และ Oxford Cambridge ให้ได้
การสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องคะแนน SAT, IB, A-Level, AP ดีๆ แต่มันคือการสร้างตัวตนที่ชัดเจน โปรไฟล์ที่โดดเด่น ไม่ให้เป็นแค่ “คนกลางๆ” ที่จมหายไปในกองใบสมัครเป็นหมื่นๆ ฉบับ
ทักษะแห่งอนาคต มีอยู่ 4 แบบ ได้แก่ I, T, Y และ X ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะต่างกัน แต่ว่าทักษะแบบไหนกันที่จะเป็นที่ต้องการของมหาวิทยาลัยระดับโลก เรามาดูกันไปทีละแบบครับ
- ทักษะแบบ I-Shape
เด็กที่มีทักษะแบบนี้โดดเด่นมากๆ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสุดยอด เช่น เป็นนักไวโอลินเยาวชนระดับโลก, นักกีฬาว่ายน้ำระดับเอเชีย, นักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติ เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็น Rare Item ของวงการต่างๆ
เด็กที่มีทักษะแบบนี้ แม้คะแนนในส่วนวิชาการอาจจะไม่เลิศเลอ ทั้ง GPA หรือ SAT แต่ก็เป็นที่ต้องการของมหาวิทยาลัยระดับโลก โดยสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยผ่านโควต้านักกีฬาหรือดนตรี เป็นต้น
เพราะมหาวิทยาลัยเชื่อว่า เด็กเหล่านี้ สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยได้ต่อเนื่องนั่นเอง จับมาฟูมฟัก ปลูกฝัง เพียงไม่นาน ก็เฉิดฉายได้ ซึ่งในอเมริกาหรืออังกฤษเอง เรื่องของกีฬาระดับมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ เช่น บาสเก็ตบอลระดับมหาวิทยาลัยหรือ The National Collegiate Athletic Association (NCAA) Basketball นี่ความนิยมไม่แพ้ลีกอาชีพอย่าง NBA เลย
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องการส่งเสริมลูกให้เข้าโควต้านี้ ก็ต้องพยายามส่งเสริมให้แข่งขันได้ถึงระดับทีมชาติไทยเป็นอย่างน้อย การเป็นตัวแทนทีมโรงเรียนหรือทีมของชมรมหรือสโมสรต่างๆ อาจไม่เพียงพอ เพราะยังต้องไปแข่งกับนักกีฬาหรือนักดนตรีทีมชาติอื่นๆ อีก
ปัญหาคือ ตามสถิติแล้ว น้อยคนที่จะไปได้ถึงจุดนั้น - ทักษะแบบ T-Shape
เด็กที่มีทักษะแบบนี้ เป็นประเภทรู้ลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และยังรู้กว้างในเรื่องอื่นๆ ด้วย
เช่น น้องคนหนึ่งที่เคยมาคุยกับผมและทีม EverLearnX เป็นคนชอบเรียนวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์มาก ได้คะแนนสูงๆ เลย และก็เป็นคนที่ชอบทำค่ายอาสา เล่นแบดมินตัน เล่นกีต้าร์ เวลาว่างๆ ก็ชอบเทรดหุ้น เป็นต้น
ฟังดูเหมือนจะดี เป็นคนเก่งในเรื่องหลากหลาย แต่ไม่มีสิ่งไหนให้จดจำ
และเชื่อไหมครับ ว่าปัจจุบัน เด็กที่มีทักษะแบบนี้ กลายเป็นคนกลางๆ แล้ว เพราะคู่แข่งของน้องคนนี้ ที่มาสมัครเข้า Ivy League (เช่น Harvard Columbia Brown เป็นต้น) หรือ Oxford Cambridge ก็เป็นแนวนี้ทั้งนั้น
หน้าที่ของผมและ EverLearnX จึงเป็นการค้นหาตัวตนของน้อง พร้อมกับคิดจุดขายของน้องที่เป็นเอกลักษณ์ และวางกลยุทธ์การปั้น Profile ผ่านการทำกิจกรรมเฉพาะทาง เพื่อให้พ้นจากการเป็นเด็กแบบ T-Shape ไปสู่แบบที่ 3 และ 4 นั่นเอง - ทักษะแบบ Y-Shape
เด็กที่มีทักษะแบบนี้ เป็นประเภทที่เชื่อมวิทยาการและความชอบของ 2 ด้านเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะหากเป็น 2 ด้านที่ดูเหมือนไม่เข้ากันเลย มักจะก่อให้เกิด Innovation ระดับที่เปลี่ยนโลกได้
เช่น ผมเคยช่วยน้องคนหนึ่ง ซึ่งครอบครัวทำธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร น้องเป็นคนที่เก่งด้าน Data Science และ Machine Learning มากๆ และเวลาว่างๆ ก็ชอบตามคุณพ่อคุณแม่ไปเดินดูอาคารสถานที่ต่างๆ ทั้งที่เป็นของลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้า
ผมและ EverLearnX จึงช่วยน้องคิด Self Project ที่ตอบโจทย์ Passion ทั้งสองด้านของตัวเอง อันได้แก่ Data + Architect จนกลายมาเป็นการคิดระบบวิเคราะห์ “Heatmap การใช้งานพื้นที่ใน Co-working space” โดยใช้ Sensor และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อออกแบบ Layout ให้ประหยัดพลังงานและเพิ่ม Productivity ของผู้ใช้งาน
สุดท้ายน้องสอบติด Carnegie Mellon หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดทางด้าน Data Science ครับ - ทักษะแบบ X-Shape
เด็กที่มีทักษะแบบนี้ คือความสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เก่งแค่เรื่องเดียว แต่รู้หลายๆ ด้านในระดับลึกและที่สำคัญคือเชื่อมคนจากหลากหลายสาขามาร่วมงานกันได้
เพราะในโลกอนาคต มีแต่คนที่เชื่อมโลก เชื่อมคน เชื่อมวิทยาการ เข้าด้วยกันได้เท่านั้นที่มหาวิทยาลัยมั่นใจว่าจะสร้าง Impact ที่ยิ่งใหญ่ได้ จนสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยได้ต่อไป
ซึ่ง Skill สำคัญที่สุด ที่จะทำให้คนจากหลากหลายสาขามาร่วมกันได้ โดยมีเด็กคนนี้เป็นจุดเชื่อม คือ Likable หรือแปลเป็นไทยว่า “คนที่น่าคบ” นั่นเอง
Likability is the New Superpower!
ทำยังไงให้ลูกของเราเป็นคนที่น่าคบ? คุณโจ้ ธนา แนะนำว่า ควรเป็น Givers หรือเป็นผู้ให้ ให้ไปก่อน โดยไม่ต้องหวังอะไรตอบแทน แต่ว่าต้องพาตัวเองไปอยู่ในหมู่ของผู้ให้ด้วยกัน เพราะถ้าไปอยู่ในหมู่ Takers หรือผู้รับอย่างเดียว จะโดนเอาเปรียบ
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง เราอาจจะต้องยอมเสียเปรียบเล็กน้อยอย่างมีศิลปะ เช่น เมื่อตอนที่คุณโจ้ทำงานที่ DTAC เคยไปเจรจาเป็น Sponsor ให้งาน Event หนึ่งของสำนักพิมพ์มติชนของคุณตุ้ม สรกล อดุลยานนท์ “หนุ่มเมืองจันทน์” คุณโจ้ตกใจมาก เมื่อคุณตุ้มมอบ Benefits หลายๆ อย่างให้ยิ่งกว่าตัวเงินค่า Sponsor มากมาย พอคุณโจ้ได้ยินแบบนั้น ก็มอบ Benefits อื่นๆ นอกจากตัวเงินกลับให้มติชนยิ่งๆ ขึ้นไปอีก จนงานนั้นออกมาดีมากๆ และทั้งคู่กลายมาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ เวลามีเรื่องที่ดีของใครคนหนึ่งที่ลูกเราประทับใจ ลูกของเราควรชื่นชมเขาใน Social media เช่น Facebook และ Instagram แต่ถ้ามีเรื่องที่ไม่ดี ที่ไม่พอใจ ก็อย่าให้ลูกไปพูด ไปลง Social media ให้คิดซะว่า เรื่องที่ลูกของเราโพสต์ใน Social media ก็เหมือนการขี้นป้ายโฆษณากลางสี่แยก
อีกหลักการหนึ่งของการเป็นคนที่น่าคบ ก็คือ การ ”ทำเกิน“ หมายถึง ทำให้เกินกว่าสิ่งที่คนอื่นคาดหวังหรือสิ่งที่เราสัญญาไว้ ปัจจุบันนี้ ถ้าทำอะไรที่ตรงกับความคาดหวัง คนจะไม่จำ และถ้าทำได้ต่ำกว่าความคาดหวัง คนมักจะจำและนำไปแชร์ต่อในทางที่ไม่ดี
แม้จะทำได้ตามหลักการด้านบนแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ ลูกของเราต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย ถ้าเป็นคนมี Ego สูง ไม่เชื่อฟังใคร ก็ยากที่คนอื่นจะชอบแม้จะเก่งแค่ไหนก็ตาม
ฟังหลักการนี้แล้ว ผมนึกถึงเรื่องของน้องคนหนึ่งที่พวกเรา EverLearnX เคยช่วย ตั้งแต่น้องอยู่ Year 10 จนจบ Year 13
น้องพิม (นามสมมติ) อยากเรียนปริญญาตรีด้าน Marketing ที่ NYU
น้องพิมมีความสนใจด้าน Marketing จากการที่เห็นคุณแม่ทำงานในวงการ Agency โฆษณามาตั้งแต่เด็กๆ
น้องพิมจึงเลือกเรียนวิชา A-Level ที่ต่อยอดไปสาย Marketing ได้ รวมทั้งลงแข่งขัน Case Competition ที่เกี่ยวข้องกับ Marketing อยู่เสมอ
พี่ๆ EverLearnX เองก็พาน้องพิมไปทำ Internship ในตำแหน่ง Marketing Intern ที่บริษัท FMCG แห่งหนึ่ง รวมทั้งแนะนำให้น้องทำชมรมต่างๆ ที่น้องชอบที่โรงเรียน โดยให้รับหน้าที่เป็นคนทำ Marketing ของชมรมเหล่านั้น
.
จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ว่า ตอนที่น้องพิมไปฝึกงาน พบว่าคนในสาย Marketing ส่วนใหญ่ยังใช้ Gut Feeling ในการคิด Campaign โฆษณา โดยไม่ได้นำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์มากนัก
.
น้องพิมเลยผสมผสานความชอบด้าน Coding เข้าด้วยกันกับ Marketing ด้วยการคิด Self Project คือ การสร้าง Dashboard เชิงวิเคราะห์สำหรับวัดผลแคมเปญโฆษณาบน Social Media ที่ใช้ข้อมูลจริงจาก Instagram และ TikTok ของชมรมต่างๆ ที่น้องพิมดูแล
.
แต่ด้วยความที่การทำ Dashboard เพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ยากมากๆ น้องพิมจึงชวนเพื่อนๆ ที่สนใจด้าน Coding มาทำด้วยกัน ซึ่งหลายๆ คนก็ตอบรับ เพราะน้องพิมเคยให้ความช่วยเหลือคนเหล่านี้มาก่อน
.
นอกจากนี้ ด้วยความที่น้องพิมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ช่วยเหลืออาจารย์เป็นระยะๆ อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้าน Coding จึงยินดีมาเป็นที่ปรึกษาของ Self Project นี้ให้
.
และด้วยความที่ทำงานดีเมื่อครั้งฝึกงาน ทำงานสำเร็จเกินคาด ออกไอเดียดีดี ช่วยเหลือมีน้ำใจแก่พี่ๆ ตลอด ทางบริษัทจึงยินดีที่จะให้เงินสนับสนุนในฐานะ Sponsor น้องพิมและเพื่อนๆ ในการทำ Dashboard นี้
.
ผลลัพธ์คือ น้องพิมและเพื่อนๆ สามารถออกแบบ Dashboard สำเร็จ และใช้เป็นเครื่องมือปรับ Content ของชมรมต่างๆ ให้ตรงกับสิ่งที่คนดูอยากเห็น จนจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าภายใน 2 เดือน
.
Self Project นี้กลายเป็นหัวใจสำคัญของใบสมัครเข้า NYU และสอบติด NYU ครับ
.
กล่าวโดยสรุป ถ้าอยากสอบเข้า Ivy League และ Oxford Cambridge รวมถึงมหาวิทยาลัยระดับโลกอื่นๆ ให้ได้ ต้องเริ่มจากการเป็นคนเก่งที่รู้ลึกในหลายๆ ด้าน และเป็น “คนที่น่าคบ” นั่นเอง
.
หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกสอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลก สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่คะแนนสอบหรือถ้วยรางวัล แต่คือตัวตนที่ “น่าคบ” และ “น่าจดจำ” ของลูก ซึ่งต้องเกิดจากการออกแบบเส้นทางชีวิตให้มีทักษะแบบ X-Shape อย่างแท้จริง EverLearnX ยินดีให้คำปรึกษา เพื่อช่วยดึงศักยภาพของลูกออกมาให้โดดเด่นที่สุดในสายตาของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกครับ
.
🧑🎓💼อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่🔽
https://lin.ee/5LArdAx หรือ Line OA: @everlearnx
.
📍ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
.
🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก