3 บทเรียนจากเหว่ยเจี๋ย Flash Express

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

June 17, 2025

“3 บทเรียนจากเหว่ยเจี๋ย Flash Express”
.
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งฟัง “เหว่ยเจี๋ย” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังระบบ IT ของ Flash Express คนที่เป็นต้นแบบของตัวละคร “รุ่ยเจี๋ย” จากซีรีส์ “สงครามส่งด่วน”
.
คุณเหว่ยเจี๋ยมาบรรยายที่ HOW Club ตามคำเชิญของพี่โจ้ ธนา พี่กระทิง เรืองโรจน์ รวมทั้งคุณคมสันต์ Flash Express เองด้วย
.
คุณคมสันต์บอกกับคุณเหว่ยเจี๋ยตอนไปชวนมาบรรยายว่า “ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบออกหน้า แต่ตอนนี้มันมีกระแสจากซีรีส์ หลายคนคงอยากรู้จักคุณ แต่ผมก็แล้วแต่คุณว่าคุณจะไปบรรยายมั้ย แต่ผมขอแค่ Session เดียวที่อยากให้คุณมาจริงๆ“
.
และนั่นก็คือ Session ที่ HOW Club นี้ครับ ถือว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเลย
.
คุณเหว่ยเจี๋ยเดินทางจากประเทศจีนมาเมืองไทยครั้งแรกก็ตอนที่คุณคมสันต์ไปชวนมาทำ Flash Express แล้ว ก่อนหน้านั้นไม่เคยมา พูดไทยไม่ได้ (และยังไม่ได้ดูซีรีย์สงครามส่งด่วนด้วย)
.
ก่อนหน้าที่จะมา Flash Express เขาต่อสู้ฝ่าฟันจากชานตงเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยระดับประเทศของจีน แล้วได้ทำงานกับ Alibaba โดยที่ Alibaba เขาคือ คนสาย Tech ดาวรุ่งหลายปีติดกัน เป็นแกนหลักในการทำระบบ Alipay มีส่วนทำให้ราคาหุ้นพุ่งกว่า 80 เท่าในช่วงที่เขาร่วมงาน 8 ปี
.
หลังออกจาก Alipay มา 3 ปี ถึงได้เจอกับคุณคมสันต์ เพราะคุณคมสันต์ไปตื๊อให้มาช่วยกัน แล้วจึงเริ่มก่อตั้ง Flash Express ด้วยกัน
.
วันนี้ ผมขอสรุป 3 ข้อคิดที่ได้จากการฟังประสบการณ์ของคุณเหว่ยเจี๋ย ที่ปรับใช้ได้เป็นอย่างดีกับการฝ่าฟันสมัครเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกครับ
.

  1. Storytelling is the key!
    เหตุที่คุณเหว่ยเจี๋ยประสบความสำเร็จอย่างมากที่ Alibaba เจ้านายรัก เป็นดาวรุ่งต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะเขาเก่งเรื่อง IT และ Tech (เพราะเพื่อนๆ คนอื่นก็เก่งกันหมด) แต่เป็นเพราะเขาเข้าใจแง่มุม Commercial ด้วย และที่สำคัญคือ เป็นคนพูดรู้เรื่อง สื่อสารได้ดี เล่าเรื่องน่าสนใจ ทำให้ผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานเข้าใจได้ง่าย
    .
    การสมัครเรียนต่อปริญญาตรีระดับโลกแบบ Ivy League หรือ OxBridge ก็เช่นกัน ถ้าลูกของคุณพ่อคุณแม่มี Profile ที่ดีในตัว แต่ไม่เล่าเรื่องออกมาให้โดดเด่นในการเขียน Essay และใบสมัครส่วนอื่นๆ ก็ยากที่จะสอบติด เพราะคณะกรรมการคัดเลือกต้องอ่านใบสมัครเป็นหมื่นๆ ฉบับ ถ้าเล่าเรื่องไม่ดี ก็ถูกปัดตกอย่างรวดเร็ว
    .
    และแม้จะผ่านรอบงานเขียนมาแล้ว หลายๆ มหาวิทยาลัย เช่น Oxford Cambridge ก็มีการสัมภาษณ์ด้วย ซึ่งก็ต้องอาศัยการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะเขียน ก็เป็นการพูด ซึ่งอาจจะยากกว่าเขียน เพราะไม่มีเวลาในการคิดมากนักก่อนจะตอบคำถามแต่ละข้อ รวมทั้งการตอบแต่ละข้อก็ควรตอบไม่เกิน 1-1.5 นาที ซึ่งสั้นมากๆ
    .
    ข้อดีคือ ทักษะการเล่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝึกได้ ทั้งการเขียน เช่น Essay และการพูด เช่น One-on-one Interview โดยปกติ ทาง EverLearnX จัด Workshop เป็นระยะๆ อยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกมาเข้าร่วมได้เลยครับ
    .
    ทั้งนี้ ถ้าลูกยัง Profile ไม่โดดเด่นมาก ก็ขอให้เริ่มลงมือทำกิจกรรมที่รัก ที่ชอบก่อนนะครับ และที่สำคัญ ต้องตรงกับเป้าหมายของชีวิตด้วย เพราะถ้าลูกไม่มีของดีในตัวเอง ก็จะไม่มีแม้แต่เรื่องที่จะไปเล่าให้ดีครับ
    .
  2. เจ็บแต่จบ!
    คุณเหว่ยเจี๋ยเล่าเรื่องช่วงกางเต็นท์นอนออฟฟิศ 6 เดือนเต็ม แทบไม่ได้กลับบ้าน เขาไม่ได้ทำมันเพราะเป็น Passion ใดๆ แต่มันคือ ความจำเป็น ถ้าไม่ทำ ก็เจ๊ง เพราะเงินของบริษัทใกล้หมดแล้ว ต้องทำงานหนัก ดิ้นรน จนสุดท้ายก็รอดวิกฤตครั้งนั้นมาได้
    .
    ผมคิดว่า คุณพ่อคุณแม่และลูกสามารถใช้หลักการนี้ มาสู้ศึกการเข้า Top U ได้เช่นกัน มันเป็น Process ที่ถ้าลูกไม่ Focus ไม่กางเต็นท์ มันก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
    .
    แต่ถ้าลูกมุ่งมั่นตั้งใจกับขั้นตอนนี้ แบ่งเวลา มีวินัย มี Commitment ทำ Timeline ให้ชัดเจนว่าแต่ละสัปดาห์ต้องทำอะไรให้เสร็จ ต่อให้เวลาเหลืออยู่ 6 เดือน ก็สอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลกได้ครับ
    .
    แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้เตรียมล่วงหน้าเนิ่นๆ 2 ปีขึ้นไป จะดีกว่ามากๆ เลยครับ เพราะจะมีเวลาที่เหมาะสม ทั้งในการเตรียมสอบ ทำ Profile (เช่น Award, Internship, Volunteering services, Self-project) ทำ Application รวมทั้งมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอด้วยครับ
    .
  3. คนสำเร็จไม่ได้มีแบบเดียว!
    ตอนคุณคมสันต์ชวนคุณเหว่ยเจี๋ยมาทำ Flash Express คุณคมสันต์เสนอให้คุณเหว่ยเจี๋ยถือหุ้น 50% เท่ากัน และให้คุณเหว่ยเจี๋ยเป็น CEO ด้วย แต่คุณเหว่ยเจี๋ยไม่เอา เขาไม่ต้องการอยู่ใน Spotlight ไม่ชอบเป็นข่าว
    .
    และเขาคิดว่า คุณคมสันต์เป็น CEO ที่ดี จะนำพาบริษัทเติบโตได้ เขาบอกว่า “การถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทที่เติบโต ยังดีกว่าถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่เจ๊ง“
    .
    ทุกวันนี้ ทั้งสองคนแบ่ง Role กันชัดเจน คุณคมสันต์เน้นติดต่อคนข้างนอก ส่วนคุณเหว่ยเจี๋ย ดูแลคนข้างในบริษัท
    .
    ผมถามคุณเหว่ยเจี๋ยว่าเคยทะเลาะกันแรงๆ มั้ย? คุณเหว่ยเจี๋ยบอกว่านึกไม่ออกเลย เพราะพอเค้าแบ่ง Role กันชัดเจนแล้ว เค้าก็ Respect ให้อีกฝ่ายที่เชี่ยวชาญ Role นั้นเป็นคนเคาะ
    .
    เหมือนกับการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ ผมอยากให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่เรียนรู้ตัวเอง ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วไม่ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเอง ทำ Profile และกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นแบบที่ลูกไม่ชอบ เพียงเพราะเคยได้ยินจากเพื่อนหรือรุ่นพี่ว่าที่นั้นชอบแบบนี้ ที่นี่ชอบแบบนั้น
    .
    ทุกมหาวิทยาลัยต้องการ Diversity ครับ และผมเชื่อว่าลูกของคุณพ่อคุณแม่แต่ละท่านมี “จุดขาย” ของตัวเอง
    .
    สมมติถ้าลูกเป็นคนมี Passion ในเรื่องมลพิษทางทะเลมากๆ และอยากแชร์เรื่องนี้ในวงกว้าง แต่ไม่ชอบออกกล้อง ก็สร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองได้เช่นกัน เช่น สร้าง Website ของตัวเอง เขียน Blog, Update ข่าวสาร และให้คำปรึกษาฟรีทาง Line เป็นต้น
    .
    และนี่ก็คือ 3 ข้อคิด ที่ได้จากคุณเหว่ยเจี๋ย มอบให้คุณพ่อคุณแม่ครับ
    .
    ปล. คุณเหว่ยเจี๋ยตัวจริงไม่ด่าโผงผางเหมือนในซีรีส์ครับ ดูเป็นคนฉลาด สุขุม มากครับ แต่มีประโยคนึงที่ผมคิดว่าเจ็บจี๊ดอยู่เหมือนกัน คือ “การมาทำงานก็คือมาทำงาน ไม่ใช่มาคุยมาหาเพื่อน”
    .
    ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้มีคนช่วยดึงตัวตนของลูกที่แท้จริง ออกมาเล่าเรื่องให้โดดเด่น สอบติดมหาวิทยาลัยในฝัน ผมและ EverLearnX พร้อมทำสิ่งนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ครับ
    .
    🧑‍🎓💼อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่🔽
    Line OA: @everlearnx
    .
    📍ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
    .
    🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก
    .

Related post

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร

“เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร?”.คุณพ่อคุณแม่ลองจินตนาการตามผมนะครับ ถ้าลูกของเรามีโอกาสยืนอยู่ในลิฟต์กับ Bill Gates หนึ่งในคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกมากที่สุดในยุคนี้ เขาหันมายิ้มให้ลูก ทักทาย แนะนำตัว พร้อมถามสั้น ๆ ว่า “Please tell me a bit about yourself.” ซึ่งอีก 10 วินาทีลิฟต์จะถึงที่หมาย ลูกเราจะพูดว่าอะไรดีครับ?.“ผมเรียนเก่งครับ ได้ GPA 4.0 ทุกเทอม”“หนูเป็นหัวหน้า 3 ชมรม ทำกิจกรรมเยอะค่ะ”“ผมเป็นตัวแทนแข่งวิทยาศาสตร์ระดับชาติครับ”.ฟังดูดีหมดเลยครับ แต่มันยังไม่ทำให้เขาจำลูกของเราได้เลย เพราะประโยคเหล่านั้น ยังไม่แสดงว่า “ตัวตน” ของลูกคืออะไร?.ประโยคเหล่านั้น คือข้อมูล แต่ไม่ใช่เรื่องเล่า ประโยคเหล่านั้น คือสิ่งที่ทำ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เป็น.Harvard ระดับ Undergrad ล่าสุดมีผู้สมัครประมาณ 60,000 คน ได้ตอบรับเข้าเรียนประมาณ 1,900 คน หรือประมาณ 3.2% เท่านั้น มหาวิทยาลัยระดับโลกเหล่านี้ มีกรรมการคัดเลือก…

Learn more

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน

“อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน”.เมื่อคะแนนอย่างเดียวมันไม่พออีกต่อไปในโลกของการเรียนต่อระดับโลก.ลองจินตนาการดูนะครับ ลูกเราได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยในฝัน Top 10 ของโลก เพื่อนๆ ในคลาสคือ คนที่ A-Level, IB, AP เกือบเต็ม และ SAT สูงมากๆ ระดับ 1,550++.แต่ไม่มีใครคุยกันเลย.เช้าเข้าเรียน เรียนเสร็จกลับห้อง ในห้องเรียนไม่มีใครตั้งคำถาม ไม่มีใคร Discuss ไม่มีใครลุกขึ้นมา Propose idea ใดๆ ให้อาจารย์ กิจกรรมของชมรมต่างๆ เงียบเหงา ไม่มีคนจัด Event ไม่มีใครทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือสอบ.แล้วจบออกมา คนเหล่านั้นก็เก่งอยู่คนเดียว ไปทำงานเงียบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้สร้างอะไรให้สังคม ไม่ได้ Inspire ใคร ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้น.ฟังดูน่าเศร้าใช่ไหมครับ?.และนี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลย.มหาวิทยาลัยไม่ได้มองหาคนเก่งที่สุด แต่เขามองหาคนที่เก่งพอประมาณ แต่ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างดีขึ้น มารวมกลุ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มหาวิทยาลัย.มหาวิทยาลัยจึงอยากได้นักเรียนที่มี Sense of contribution เช่น นักเรียนที่เข้าเรียนแล้วมีส่วนร่วมใน Class, นักเรียนที่สร้าง Club สร้าง Activity…

Learn more

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

เก่งแค่ไหน ก็ต้องมีโค้ช

“เก่งแค่ไหน ก็ต้องมีโค้ช”.ย้อนกลับไปในช่วงที่ Tiger Woods กำลังพีคที่สุดในชีวิต เขาคือเบอร์ 1 ของโลก ทัวร์นาเมนต์กอล์ฟไหนที่เขาลงแข่ง เขาคือความหวังของกองเชียร์ทั้งสนาม.แต่รู้ไหมครับว่า ขนาดเขาตีไกล ตีแม่น ระดับโลกแล้ว ยังมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Tiger ตัดสินใจรื้อวงสวิงตัวเองใหม่หมด เขาขอให้ Hank Haney โค้ชกอล์ฟชื่อดัง เข้ามาปรับวงสวิงให้.คนที่เล่นกอล์ฟจะรู้ว่า การเปลี่ยนวงสวิง คือความทรมานทางจิตใจมากๆ นะครับ เพราะช่วงแรกจะตีไม่ได้แม่นยำเหมือนเดิม แต่ Tiger รู้ดีว่า แม้เขาจะเก่งที่สุดในโลก แต่ถ้าหยุดพัฒนา เพราะคิดว่าแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว เขาจะไม่มีวันไปได้ไกลกว่านี้.และนั่นคือเหตุผลที่เขายอมเจ็บ เพื่อจะเติบโตเขายอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อจะกระโดดไปไกลกว่าที่เคย.แต่ทำไมเขาไม่ปรับวงสวิงเองล่ะ ทำไมต้องมี Hank Haney มาปรับให้?.เพราะต่อให้เขาเป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดในโลก เขาก็ไม่มีทางมองตัวเองจากภายนอกได้ Tiger เคยบอกว่าบางอย่างเขาทำผิดมานาน โดยที่ไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งโค้ชเข้ามาช่วยมองให้.และนอกจาก Tiger แล้ว นักกีฬาระดับโลกคนอื่นๆ ก็มีโค้ชกันหมด ไม่ว่าจะเป็น Kobe Bryant (Phil Jackson เป็นโค้ชให้), Serena Williams…

Learn more