เรียนต่อ US vs UK ต่างกันยังไง? เลือกที่ไหนดี?

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

April 25, 2025

ในฐานะที่ผมให้คำปรึกษาเรื่องเรียนต่อต่างประเทศ ระดับ Ivy League, Oxford, Cambridge มาหลายปี หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดจากคุณพ่อคุณแม่ คือ …

“ถ้าจะให้ลูกไปเรียนปริญญาตรีต่างประเทศ ไปอเมริกาหรืออังกฤษจะดีกว่าครับ/ค่ะ?”

คำตอบของผมคือ เลือกที่ที่ “เหมาะกับลูก” ครับ

แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าที่ไหนจะเหมาะกับลูกของเรา ผมขอแนะนำ 9 ปัจจัยหลักเพื่อพิจารณาดังนี้ครับ

1. ความชัดเจนของเป้าหมาย

มหาวิทยาลัยใน US จะไม่บังคับให้เลือกสาขาตั้งแต่แรกเข้า โดยนักเรียนจะเรียนวิชาทั่วไปในช่วง 2 ปีแรก แล้วค่อยเลือกสาขาเมื่อขึ้นปี 3 เราจึงอาจเห็นนักเรียนหลายคนเปลี่ยนสาขาระหว่างเรียน ทั้งนี้ น้องๆ ที่จบ High school จะยังไม่สามารถสมัครเรียนบางสาขาได้ เช่น แพทย์ หรือกฏหมาย ส่วนระบบ UK ให้เลือกสาขาตั้งแต่ก่อนสมัครเลย แล้วเรียนลงลึกในสาขานั้นตั้งแต่ปีแรกเลย ถ้าไปเรียนแล้วไม่ชอบ ก็ย้ายสาขาไม่ง่ายแล้ว

2. ระยะเวลาเรียน

ปริญญาตรีใน US จะเรียน 4 ปี โดยมีค่าใช้จ่ายรวม ทั้งค่าเรียนและค่าครองชีพ ประมาณ 12 ล้านบาท ส่วนที่ UK จะเรียนจบใน 3 ปี โดยค่าเรียนและค่าครองชีพรวมประมาณ 8 ล้านบาท

3. ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย

ใน US มีมหาวิทยาลัยชื่อดังจำนวนมาก ทั้งกลุ่ม Ivy League เช่น Harvard, Columbia, Yale, Brown รวมทั้งนอกกลุ่ม Ivy League ที่ดังมากๆ อีก เช่น MIT, Stanford, Berkeley, Duke, Northwestern รวมๆ ประมาณ 25 แห่งที่ถือว่าเป็น Top of the Top จริงๆ ส่วนใน UK นั้น ถ้าเอาที่เทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยของ US ข้างต้นได้ ก็มีไม่มาก เช่น Oxford, Cambridge, Imperial, LSE เป็นต้น

4. ความแตกต่างของเมือง

US เป็นประเทศใหญ่ สภาพอากาศหลากหลายมาก บางรัฐหิมะตกครึ่งปี บางรัฐร้อนเหมือนไทย มีเมืองใหญ่ เมืองเล็ก ให้เลือกมากมายหลายแบบ มีวัฒนธรรมต่างกันมากระหว่างรัฐ ส่วน UK จะมีขนาดประเทศเล็กกว่า อากาศจึงคล้ายกันทั่วประเทศ วัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ความแตกต่างระหว่างเมืองเล็ก-ใหญ่ไม่สุดโต่งเท่า US

5. ความใกล้ชิดกับครอบครัว

US อยู่ไกลจากเมืองไทยมาก เดินทางมากกว่า 20 ชั่วโมง บาง Route ต้องต่อเครื่องอีกหลายครั้ง เรียกว่าเสียเวลาเป็นวันๆ เลย คุณพ่อคุณแม่อาจจะไปเยี่ยมลูกได้ไม่บ่อยนัก ต้องวางแผนล่วงหน้านานๆ ถ้าเทียบกับ UK แล้ว UK จะใกล้กว่า เดินทางประมาณ 13 ชั่วโมง บางครอบครัวไปเยี่ยมลูกปีละหลายครั้งได้เลยครับ

6. สไตล์การเรียน

การเรียนใน US เน้นภาคปฏิบัติและความคิดเห็นของนักเรียนมากๆ โดยคุณครูจะชวนคุย ชวนทดลองทำ ชวนถกเถียง ให้นักเรียนพูดเยอะๆ ใครพูดน้อย คุณครูจะเรียกตอบ ส่วนตัวผมเจอน้องๆ หลายคนที่เรียนจบจาก US แล้วกล้าพูดมากขึ้นเยอะเลย การเรียนใน US มักวัดผลจาก Participation และ Group Project เป็นหลัก ส่วนใน UK จะเน้นทฤษฎีและการทำวิจัย หรือทำ Paper ต่างๆ โดยอาจวัดผลจากการสอบ Mid-term และ Final Exam หรือวัดผลจาก Research Paper เป็นหลัก

7. Connection ของนักเรียนไทย

จำนวนนักเรียนไทยใน UK มากกว่า US ค่อนข้างมาก ถ้าต้องการเพื่อนคนไทยเยอะๆ เพื่อต่อยอดการทำงาน ทำธุรกิจในไทย ไปเรียน UK ก็เหมาะ โดยใน UK จะมี “สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์” ก่อตั้งปี พ.ศ. 2444 ที่เป็นศูนย์รวมศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน ของนักเรียนไทยใน UK ซึ่งแน่นแฟ้นมาก มีกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์เยอะมาก ส่วนใน US เอง ก็มีสมาคมนักเรียนไทยในสหรัฐ หรือ ATSA เช่นกัน ซึ่งแม้จะใหม่ แต่อยู่ในช่วงเติบโต

8. ความปลอดภัย

US ต้องพิจารณารายเมือง บางเมืองโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อาจมีเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยอยู่บ้าง เช่น เรื่องอาวุธ ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ เป็นต้น ส่วนใน UK โดยรวมจะปลอดภัยมากกว่า โดยเฉพาะเมืองมหาวิทยาลัย เช่น Oxford หรือ Cambridge ที่เป็นเมืองเล็ก ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองก็เป็นนักเรียน ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยทั้ง US และ UK ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการดูแลนักเรียนอยู่แล้ว เพราะถ้านักเรียนเป็นอะไรไป มหาวิทยาลัยจะเสียชื่อเสียงมากๆ ดังนั้น มหาวิทยาลัยจะติดตั้งกล้องวงจรปิดจำนวนมาก มีตำรวจตระเวนตรวจตรา มีระบบสื่อสารแจ้งเตือนเหตุต่างๆ อย่างทันท่วงที

9. โอกาสหางาน

US มีวีซ่าให้นักเรียนต่างชาติสามารถทำงานได้ 1-3 ปีหลังเรียนจบปริญญาตรี ขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่จบ (เช่น สาย STEM สามารถทำงานได้ถึง 3 ปี) ส่วนใน UK เปิดโอกาสให้นักเรียนทำงานได้ 2 ปีหลังเรียนจบปริญญาตรี ถือเป็นโอกาสดีสำหรับลูกของเราที่อยากลองใช้ชีวิตทำงานที่นั่นครับ

และนี่คือ 9 ปัจจัยที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่พิจารณาครับ ท้ายที่สุด อย่ามองแค่ชื่อมหาวิทยาลัย หรือค่าเรียน แต่มองที่ “ความเหมาะสม” เพราะลูกของเราต้องใช้ชีวิต 3-4 ปี ถ้าไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ ก็ยากที่จะมีความสุข แล้วการเรียนในมหาวิทยาลัยจะไม่ได้แค่ให้ความรู้ แต่จะเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของลูกไปตลอดกาลครับ

🏛️อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่ : https://lin.ee/5LArdAx

📍ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
🎉 การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก

Related post

Study Abroad FAQs, Study in US

ปลูก 100 ป่า ก็เข้า Ivy League ไม่ได้

”ปลูก 100 ป่า ก็เข้า Ivy League ไม่ได้“ 🌳🇺🇸คุณพ่อคุณแม่หลายท่านยังมีความเชื่อว่า ถ้าจะเข้ามหาวิทยาลัยระดับ Ivy League, Oxford, Cambridge หรือเทียบเท่า ต้องทำกิจกรรมเยอะๆ จึงมักสนับสนุนให้ลูกทำกิจกรรมตามเพื่อนๆ เช่นเวลามีงานอาสาปลูกป่า, แจกของเด็กด้อยโอกาส, บริจาคเลือด ก็ไปหมด ทั้งๆ ที่ตัวของลูกอาจจะไม่อินและฝืนใจไปทุกครั้ง เพียงเพื่อให้ Profile ดูดีวันนี้ ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ลบภาพจำว่า “กิจกรรม” เท่ากับ ปลูกป่า, บริจาคเลือด, ไปค่ายอาสา, บริจาคสิ่งของ หรืองานจิตอาสาอื่นๆ เท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่นับเป็นกิจกรรมได้ มีอีกเยอะมาก เช่น “กิจกรรม” จึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องแสดงว่าลูกเป็น “คนดี” ยอมตากแดด ตากฝน เพื่อช่วยเหลือคนอื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นสิ่งที่ทำเพื่อคนอื่นในแบบของตัวเองในทางใดทางหนึ่ง เช่น อยู่บ้านเขียน Blog เรื่อง Coding ก็นับเป็นกิจกรรมที่ดีได้ครับแต่จะทำกิจกรรมอะไรนั้น ต้องดูก่อนว่าลูกชอบอะไรและเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยมองหาหรือไม่ แล้วพยายามทำสิ่งที่ชอบให้โดดเด่น ให้เห็นเป็น Theme…

Learn more