“3 บทเรียนจากเหว่ยเจี๋ย Flash Express”
.
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งฟัง “เหว่ยเจี๋ย” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังระบบ IT ของ Flash Express คนที่เป็นต้นแบบของตัวละคร “รุ่ยเจี๋ย” จากซีรีส์ “สงครามส่งด่วน”
.
คุณเหว่ยเจี๋ยมาบรรยายที่ HOW Club ตามคำเชิญของพี่โจ้ ธนา พี่กระทิง เรืองโรจน์ รวมทั้งคุณคมสันต์ Flash Express เองด้วย
.
คุณคมสันต์บอกกับคุณเหว่ยเจี๋ยตอนไปชวนมาบรรยายว่า “ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบออกหน้า แต่ตอนนี้มันมีกระแสจากซีรีส์ หลายคนคงอยากรู้จักคุณ แต่ผมก็แล้วแต่คุณว่าคุณจะไปบรรยายมั้ย แต่ผมขอแค่ Session เดียวที่อยากให้คุณมาจริงๆ“
.
และนั่นก็คือ Session ที่ HOW Club นี้ครับ ถือว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเลย
.
คุณเหว่ยเจี๋ยเดินทางจากประเทศจีนมาเมืองไทยครั้งแรกก็ตอนที่คุณคมสันต์ไปชวนมาทำ Flash Express แล้ว ก่อนหน้านั้นไม่เคยมา พูดไทยไม่ได้ (และยังไม่ได้ดูซีรีย์สงครามส่งด่วนด้วย)
.
ก่อนหน้าที่จะมา Flash Express เขาต่อสู้ฝ่าฟันจากชานตงเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยระดับประเทศของจีน แล้วได้ทำงานกับ Alibaba โดยที่ Alibaba เขาคือ คนสาย Tech ดาวรุ่งหลายปีติดกัน เป็นแกนหลักในการทำระบบ Alipay มีส่วนทำให้ราคาหุ้นพุ่งกว่า 80 เท่าในช่วงที่เขาร่วมงาน 8 ปี
.
หลังออกจาก Alipay มา 3 ปี ถึงได้เจอกับคุณคมสันต์ เพราะคุณคมสันต์ไปตื๊อให้มาช่วยกัน แล้วจึงเริ่มก่อตั้ง Flash Express ด้วยกัน
.
วันนี้ ผมขอสรุป 3 ข้อคิดที่ได้จากการฟังประสบการณ์ของคุณเหว่ยเจี๋ย ที่ปรับใช้ได้เป็นอย่างดีกับการฝ่าฟันสมัครเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกครับ
.
- Storytelling is the key!
เหตุที่คุณเหว่ยเจี๋ยประสบความสำเร็จอย่างมากที่ Alibaba เจ้านายรัก เป็นดาวรุ่งต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะเขาเก่งเรื่อง IT และ Tech (เพราะเพื่อนๆ คนอื่นก็เก่งกันหมด) แต่เป็นเพราะเขาเข้าใจแง่มุม Commercial ด้วย และที่สำคัญคือ เป็นคนพูดรู้เรื่อง สื่อสารได้ดี เล่าเรื่องน่าสนใจ ทำให้ผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานเข้าใจได้ง่าย
.
การสมัครเรียนต่อปริญญาตรีระดับโลกแบบ Ivy League หรือ OxBridge ก็เช่นกัน ถ้าลูกของคุณพ่อคุณแม่มี Profile ที่ดีในตัว แต่ไม่เล่าเรื่องออกมาให้โดดเด่นในการเขียน Essay และใบสมัครส่วนอื่นๆ ก็ยากที่จะสอบติด เพราะคณะกรรมการคัดเลือกต้องอ่านใบสมัครเป็นหมื่นๆ ฉบับ ถ้าเล่าเรื่องไม่ดี ก็ถูกปัดตกอย่างรวดเร็ว
.
และแม้จะผ่านรอบงานเขียนมาแล้ว หลายๆ มหาวิทยาลัย เช่น Oxford Cambridge ก็มีการสัมภาษณ์ด้วย ซึ่งก็ต้องอาศัยการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะเขียน ก็เป็นการพูด ซึ่งอาจจะยากกว่าเขียน เพราะไม่มีเวลาในการคิดมากนักก่อนจะตอบคำถามแต่ละข้อ รวมทั้งการตอบแต่ละข้อก็ควรตอบไม่เกิน 1-1.5 นาที ซึ่งสั้นมากๆ
.
ข้อดีคือ ทักษะการเล่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝึกได้ ทั้งการเขียน เช่น Essay และการพูด เช่น One-on-one Interview โดยปกติ ทาง EverLearnX จัด Workshop เป็นระยะๆ อยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกมาเข้าร่วมได้เลยครับ
.
ทั้งนี้ ถ้าลูกยัง Profile ไม่โดดเด่นมาก ก็ขอให้เริ่มลงมือทำกิจกรรมที่รัก ที่ชอบก่อนนะครับ และที่สำคัญ ต้องตรงกับเป้าหมายของชีวิตด้วย เพราะถ้าลูกไม่มีของดีในตัวเอง ก็จะไม่มีแม้แต่เรื่องที่จะไปเล่าให้ดีครับ
. - เจ็บแต่จบ!
คุณเหว่ยเจี๋ยเล่าเรื่องช่วงกางเต็นท์นอนออฟฟิศ 6 เดือนเต็ม แทบไม่ได้กลับบ้าน เขาไม่ได้ทำมันเพราะเป็น Passion ใดๆ แต่มันคือ ความจำเป็น ถ้าไม่ทำ ก็เจ๊ง เพราะเงินของบริษัทใกล้หมดแล้ว ต้องทำงานหนัก ดิ้นรน จนสุดท้ายก็รอดวิกฤตครั้งนั้นมาได้
.
ผมคิดว่า คุณพ่อคุณแม่และลูกสามารถใช้หลักการนี้ มาสู้ศึกการเข้า Top U ได้เช่นกัน มันเป็น Process ที่ถ้าลูกไม่ Focus ไม่กางเต็นท์ มันก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
.
แต่ถ้าลูกมุ่งมั่นตั้งใจกับขั้นตอนนี้ แบ่งเวลา มีวินัย มี Commitment ทำ Timeline ให้ชัดเจนว่าแต่ละสัปดาห์ต้องทำอะไรให้เสร็จ ต่อให้เวลาเหลืออยู่ 6 เดือน ก็สอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลกได้ครับ
.
แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้เตรียมล่วงหน้าเนิ่นๆ 2 ปีขึ้นไป จะดีกว่ามากๆ เลยครับ เพราะจะมีเวลาที่เหมาะสม ทั้งในการเตรียมสอบ ทำ Profile (เช่น Award, Internship, Volunteering services, Self-project) ทำ Application รวมทั้งมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอด้วยครับ
. - คนสำเร็จไม่ได้มีแบบเดียว!
ตอนคุณคมสันต์ชวนคุณเหว่ยเจี๋ยมาทำ Flash Express คุณคมสันต์เสนอให้คุณเหว่ยเจี๋ยถือหุ้น 50% เท่ากัน และให้คุณเหว่ยเจี๋ยเป็น CEO ด้วย แต่คุณเหว่ยเจี๋ยไม่เอา เขาไม่ต้องการอยู่ใน Spotlight ไม่ชอบเป็นข่าว
.
และเขาคิดว่า คุณคมสันต์เป็น CEO ที่ดี จะนำพาบริษัทเติบโตได้ เขาบอกว่า “การถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทที่เติบโต ยังดีกว่าถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่เจ๊ง“
.
ทุกวันนี้ ทั้งสองคนแบ่ง Role กันชัดเจน คุณคมสันต์เน้นติดต่อคนข้างนอก ส่วนคุณเหว่ยเจี๋ย ดูแลคนข้างในบริษัท
.
ผมถามคุณเหว่ยเจี๋ยว่าเคยทะเลาะกันแรงๆ มั้ย? คุณเหว่ยเจี๋ยบอกว่านึกไม่ออกเลย เพราะพอเค้าแบ่ง Role กันชัดเจนแล้ว เค้าก็ Respect ให้อีกฝ่ายที่เชี่ยวชาญ Role นั้นเป็นคนเคาะ
.
เหมือนกับการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ ผมอยากให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่เรียนรู้ตัวเอง ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วไม่ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเอง ทำ Profile และกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นแบบที่ลูกไม่ชอบ เพียงเพราะเคยได้ยินจากเพื่อนหรือรุ่นพี่ว่าที่นั้นชอบแบบนี้ ที่นี่ชอบแบบนั้น
.
ทุกมหาวิทยาลัยต้องการ Diversity ครับ และผมเชื่อว่าลูกของคุณพ่อคุณแม่แต่ละท่านมี “จุดขาย” ของตัวเอง
.
สมมติถ้าลูกเป็นคนมี Passion ในเรื่องมลพิษทางทะเลมากๆ และอยากแชร์เรื่องนี้ในวงกว้าง แต่ไม่ชอบออกกล้อง ก็สร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองได้เช่นกัน เช่น สร้าง Website ของตัวเอง เขียน Blog, Update ข่าวสาร และให้คำปรึกษาฟรีทาง Line เป็นต้น
.
และนี่ก็คือ 3 ข้อคิด ที่ได้จากคุณเหว่ยเจี๋ย มอบให้คุณพ่อคุณแม่ครับ
.
ปล. คุณเหว่ยเจี๋ยตัวจริงไม่ด่าโผงผางเหมือนในซีรีส์ครับ ดูเป็นคนฉลาด สุขุม มากครับ แต่มีประโยคนึงที่ผมคิดว่าเจ็บจี๊ดอยู่เหมือนกัน คือ “การมาทำงานก็คือมาทำงาน ไม่ใช่มาคุยมาหาเพื่อน”
.
ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้มีคนช่วยดึงตัวตนของลูกที่แท้จริง ออกมาเล่าเรื่องให้โดดเด่น สอบติดมหาวิทยาลัยในฝัน ผมและ EverLearnX พร้อมทำสิ่งนั้นให้คุณพ่อคุณแม่ครับ
.
🧑🎓💼อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่🔽
Line OA: @everlearnx
.
📍ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
.
🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก
.