13 สิ่งที่คนสอบติด Ivy League ไม่ทำ

Study Abroad FAQs, Study in US

August 8, 2025

“13 สิ่งที่คนสอบติด Ivy League ไม่ทำ”
.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือชื่อ “13 Things Mentally Strong People Don’t Do” โดย Amy Morin นักจิตบำบัดและผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรม ที่พูดถึง 13 สิ่งที่คนจิตใจเข้มแข็งไม่ทำกัน
.
ผมอ่านแล้ว 13 ข้อนี้ ใช้ได้กับเส้นทางการสมัครเรียนต่อ Ivy League, Oxbridge และมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อย่าง MIT, Stanford, Berkeley, Imperial ของลูกของคุณพ่อคุณแม่ได้ ก็เลยอยากหยิบมุมมองนี้ มาแชร์เป็นบทความในวันนี้ให้คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ลูกฟังเมื่อมีโอกาสครับ
.

  1. ไม่เสียเวลามาสงสารตัวเอง
    เวลาลูกสอบ SAT/IELTS/TOEFL แล้วยังไม่ได้คะแนนที่หวังสักที คุณพ่อคุณแม่อาจจะให้กำลังใจลูก โดยพยายามให้ลูกไม่เสียเวลาไปคิดว่า “ทำไมต้องเป็นผม/หนู?” เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ลูกอาจจะรู้สึกทางลบมากกว่าเดิม อยากให้ลูกได้ใช้เวลาหาข้อผิดพลาด หากลยุทธ์ใหม่ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในครั้งหน้าดีกว่า
    .
  2. ไม่ยอมเสียอำนาจของตัวเองไป
    อย่าปล่อยให้คำพูดของคนรอบข้างมาตัดสินว่าลูกจะไปถึงฝันได้หรือไม่ เช่น “A-Level แค่นี้จะสอบได้ Oxford หรอ?”, “คะแนน SAT ต่ำกว่า 1450 สอบไม่ติดหรอก” หรือ “น้องไม่น่าเหมาะกับ Harvard นะ” คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะรับฟังความเห็นคนรอบข้าง แต่จะเลือกตัดสินใจด้วยความคิดของตัวเองเสมอ ลูกของคุณพ่อคุณแม่ก็เช่นกันครับ
    .
  3. ไม่หลบเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง
    ลูกของคุณพ่อคุณแม่อาจลังเลกับการไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะกลัวว่าจะทำให้ต้องเปลี่ยน Lifestyle การใช้ชีวิตหลายๆ อย่าง, กังวลว่าตอนไปเรียนจะมีเพื่อนต่างชาติมั้ย?, จะเรียนหนักกว่าที่ไทยมั้ย? หรือจะ Homesick มั้ย? เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่อาจให้กำลังใจลูกว่า จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่มันคือ การปลดล็อกศักยภาพใหม่ในตัวของลูกไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิมครับ
    .
  4. ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
    คุณพ่อคุณแม่และลูกอาจกังวลเรื่องนโยบาย Trump หรือเรื่องความปลอดภัยของ USA จนลังเลว่าจะยอมทิ้งความฝันที่จะเรียนใน USA ไปดีมั้ย? จริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้น ผมแนะนำให้ติดตามสถานการณ์พอประมาณ แต่เอาพลังไปใส่ในสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น เตรียมสอบ เตรียมปั้น Profile ตั้งใจทำ Essay ซ้อมสัมภาษณ์บ่อยๆ จะดีกว่า
    .
  5. ไม่ห่วงว่าต้องทำให้ทุกคนพอใจ
    เด็กๆ บางคนอาจสมัครเรียนตามสิ่งที่คนรอบข้างคาดหวัง เช่น “เรียน Harvard สิ จะได้ทำงานในบริษัทดีดีของ USA” หรือ “เรียนอังกฤษสิ 3 ปีจบแล้ว อเมริกาตั้ง 4 ปีแน่ะ” เป็นต้น แต่การเรียนต่อไม่ใช่การแข่งว่าใครทำให้คนอื่นพอใจได้มากที่สุด แต่คือการซื่อสัตย์กับเสียงหัวใจของตัวเอง และกล้าพอจะบอกว่านี่คือสิ่งที่เราอยากเรียน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ลูกของเราเป็นคนไปใช้ชีวิตตอนเรียนครับ ไม่ใช่คนรอบข้าง
    .
  6. ไม่กลัวที่จะรับความเสี่ยงที่ประเมินแล้ว
    การสมัครมหาวิทยาลัยระดับโลก คือความเสี่ยงในตัวมันเองอยู่แล้ว ด้วย Acceptance Rate ที่อยู่ประมาณ 4% (สมัคร 100 คน คัดออก 96 คน) ลูกอาจสอบไม่ติด และเสียเงินค่าสมัครไปหลายที่ ทั้งที่ทุ่มเทเต็มที่แล้ว แต่คนจิตใจเข้มแข็งจะไม่มองแค่ความกลัวจนไม่กล้าสมัคร แต่พวกเขาจะคำนวณความเสี่ยงด้วยแผนรองรับ เช่น ประเมินแล้วว่าแต่ละมหาวิทยาลัยชอบคนแบบไหน? วิเคราะห์ว่าตัวเองต่างจากคู่แข่งอย่างไร? วางแผนสมัครหลายๆ ที่ โดยวิเคราะห์ Profile และ Test score ของตัวเอง เพื่อแบ่ง Tier ในการสมัครเป็น Reach, Match, และ Safety school เป็นต้น
    .
    หาก 6 ข้อแรกนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกของคุณพ่อคุณแม่ สามารถแสดงความคิดเห็น หรือสอบถามเพิ่มเติมใน Comment ได้เลยครับ
    .
    หากมีประเด็นใดที่ต้องการให้ผมขยายความเพิ่มเติม ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
    .
    ในบทความถัดไป ผมจะมาแบ่งปันอีก 7 ข้อที่เหลือ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้กัน สามารถติดตามต่อได้เร็วๆ นี้นะครับ
    .
    🧑‍🎓🎓อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่🔽
    https://lin.ee/5LArdAx หรือ Add Line OA: @everlearnx
    .
    📌ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
    .
    🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก

Related post

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด

“เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด”.เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้อ่านหนังสือชื่อ “HOME RUN แพ้กี่ครั้งไม่สำคัญ ขอตีโฮมรันครั้งเดียวพอ” ของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ ในตอนหนึ่ง พี่โจ้เล่าถึงเรื่อง Why us ของธุรกิจสินเชื่อกระเป๋าแบรนด์เนม bagforcash พร้อมกับบอกว่า “เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด”.ทันทีที่ผมอ่านตอนนี้จบ ผมนึกถึงน้องๆ ที่กำลังจะสมัครเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Harvard, MIT, Stanford, Oxford, Cambridge ขึ้นมาทันทีเลยครับ.เพราะมหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้มองหาคนมาจ่ายเงินค่าเทอมมา “รับ” ความรู้และ Network ดีดีอย่างเดียว ถ้าต้องการแค่เงิน ผู้สมัครคนไหนก็ให้ได้ แต่มหาวิทยาลัยเหล่านี้มองหาคนที่จะมา “ให้” ต่างหาก เช่น ให้ความรู้เพื่อนร่วมชั้น ให้แรงบันดาลใจเพื่อนร่วมชั้น สร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้แก่มหาวิทยาลัย ทั้งตอนเป็นนักเรียน และหลังเรียนจบไปแล้ว.คนแบบนี้ต่างหาก ที่ทำให้มหาวิทยาลัยยังมีคุณค่าต่อไปในโลกอนาคต และนั่นคือเหตุผลที่มหาวิทยาลัยระดับโลกจะถามคำถามในส่วนของ Supplemental…

Learn more

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร

“เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร?”.คุณพ่อคุณแม่ลองจินตนาการตามผมนะครับ ถ้าลูกของเรามีโอกาสยืนอยู่ในลิฟต์กับ Bill Gates หนึ่งในคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกมากที่สุดในยุคนี้ เขาหันมายิ้มให้ลูก ทักทาย แนะนำตัว พร้อมถามสั้น ๆ ว่า “Please tell me a bit about yourself.” ซึ่งอีก 10 วินาทีลิฟต์จะถึงที่หมาย ลูกเราจะพูดว่าอะไรดีครับ?.“ผมเรียนเก่งครับ ได้ GPA 4.0 ทุกเทอม”“หนูเป็นหัวหน้า 3 ชมรม ทำกิจกรรมเยอะค่ะ”“ผมเป็นตัวแทนแข่งวิทยาศาสตร์ระดับชาติครับ”.ฟังดูดีหมดเลยครับ แต่มันยังไม่ทำให้เขาจำลูกของเราได้เลย เพราะประโยคเหล่านั้น ยังไม่แสดงว่า “ตัวตน” ของลูกคืออะไร?.ประโยคเหล่านั้น คือข้อมูล แต่ไม่ใช่เรื่องเล่า ประโยคเหล่านั้น คือสิ่งที่ทำ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เป็น.Harvard ระดับ Undergrad ล่าสุดมีผู้สมัครประมาณ 60,000 คน ได้ตอบรับเข้าเรียนประมาณ 1,900 คน หรือประมาณ 3.2% เท่านั้น มหาวิทยาลัยระดับโลกเหล่านี้ มีกรรมการคัดเลือก…

Learn more

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน

“อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน”.เมื่อคะแนนอย่างเดียวมันไม่พออีกต่อไปในโลกของการเรียนต่อระดับโลก.ลองจินตนาการดูนะครับ ลูกเราได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยในฝัน Top 10 ของโลก เพื่อนๆ ในคลาสคือ คนที่ A-Level, IB, AP เกือบเต็ม และ SAT สูงมากๆ ระดับ 1,550++.แต่ไม่มีใครคุยกันเลย.เช้าเข้าเรียน เรียนเสร็จกลับห้อง ในห้องเรียนไม่มีใครตั้งคำถาม ไม่มีใคร Discuss ไม่มีใครลุกขึ้นมา Propose idea ใดๆ ให้อาจารย์ กิจกรรมของชมรมต่างๆ เงียบเหงา ไม่มีคนจัด Event ไม่มีใครทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือสอบ.แล้วจบออกมา คนเหล่านั้นก็เก่งอยู่คนเดียว ไปทำงานเงียบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้สร้างอะไรให้สังคม ไม่ได้ Inspire ใคร ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้น.ฟังดูน่าเศร้าใช่ไหมครับ?.และนี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลย.มหาวิทยาลัยไม่ได้มองหาคนเก่งที่สุด แต่เขามองหาคนที่เก่งพอประมาณ แต่ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างดีขึ้น มารวมกลุ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มหาวิทยาลัย.มหาวิทยาลัยจึงอยากได้นักเรียนที่มี Sense of contribution เช่น นักเรียนที่เข้าเรียนแล้วมีส่วนร่วมใน Class, นักเรียนที่สร้าง Club สร้าง Activity…

Learn more