“13 สิ่งที่คนสอบติด Ivy League ไม่ทำ”
.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือชื่อ “13 Things Mentally Strong People Don’t Do” โดย Amy Morin นักจิตบำบัดและผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรม ที่พูดถึง 13 สิ่งที่คนจิตใจเข้มแข็งไม่ทำกัน
.
ผมอ่านแล้ว 13 ข้อนี้ ใช้ได้กับเส้นทางการสมัครเรียนต่อ Ivy League, Oxbridge และมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อย่าง MIT, Stanford, Berkeley, Imperial ของลูกของคุณพ่อคุณแม่ได้ ก็เลยอยากหยิบมุมมองนี้ มาแชร์เป็นบทความในวันนี้ให้คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ลูกฟังเมื่อมีโอกาสครับ
.
- ไม่เสียเวลามาสงสารตัวเอง
เวลาลูกสอบ SAT/IELTS/TOEFL แล้วยังไม่ได้คะแนนที่หวังสักที คุณพ่อคุณแม่อาจจะให้กำลังใจลูก โดยพยายามให้ลูกไม่เสียเวลาไปคิดว่า “ทำไมต้องเป็นผม/หนู?” เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ลูกอาจจะรู้สึกทางลบมากกว่าเดิม อยากให้ลูกได้ใช้เวลาหาข้อผิดพลาด หากลยุทธ์ใหม่ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในครั้งหน้าดีกว่า
. - ไม่ยอมเสียอำนาจของตัวเองไป
อย่าปล่อยให้คำพูดของคนรอบข้างมาตัดสินว่าลูกจะไปถึงฝันได้หรือไม่ เช่น “A-Level แค่นี้จะสอบได้ Oxford หรอ?”, “คะแนน SAT ต่ำกว่า 1450 สอบไม่ติดหรอก” หรือ “น้องไม่น่าเหมาะกับ Harvard นะ” คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะรับฟังความเห็นคนรอบข้าง แต่จะเลือกตัดสินใจด้วยความคิดของตัวเองเสมอ ลูกของคุณพ่อคุณแม่ก็เช่นกันครับ
. - ไม่หลบเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง
ลูกของคุณพ่อคุณแม่อาจลังเลกับการไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะกลัวว่าจะทำให้ต้องเปลี่ยน Lifestyle การใช้ชีวิตหลายๆ อย่าง, กังวลว่าตอนไปเรียนจะมีเพื่อนต่างชาติมั้ย?, จะเรียนหนักกว่าที่ไทยมั้ย? หรือจะ Homesick มั้ย? เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่อาจให้กำลังใจลูกว่า จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่มันคือ การปลดล็อกศักยภาพใหม่ในตัวของลูกไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิมครับ
. - ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
คุณพ่อคุณแม่และลูกอาจกังวลเรื่องนโยบาย Trump หรือเรื่องความปลอดภัยของ USA จนลังเลว่าจะยอมทิ้งความฝันที่จะเรียนใน USA ไปดีมั้ย? จริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้น ผมแนะนำให้ติดตามสถานการณ์พอประมาณ แต่เอาพลังไปใส่ในสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น เตรียมสอบ เตรียมปั้น Profile ตั้งใจทำ Essay ซ้อมสัมภาษณ์บ่อยๆ จะดีกว่า
. - ไม่ห่วงว่าต้องทำให้ทุกคนพอใจ
เด็กๆ บางคนอาจสมัครเรียนตามสิ่งที่คนรอบข้างคาดหวัง เช่น “เรียน Harvard สิ จะได้ทำงานในบริษัทดีดีของ USA” หรือ “เรียนอังกฤษสิ 3 ปีจบแล้ว อเมริกาตั้ง 4 ปีแน่ะ” เป็นต้น แต่การเรียนต่อไม่ใช่การแข่งว่าใครทำให้คนอื่นพอใจได้มากที่สุด แต่คือการซื่อสัตย์กับเสียงหัวใจของตัวเอง และกล้าพอจะบอกว่านี่คือสิ่งที่เราอยากเรียน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ลูกของเราเป็นคนไปใช้ชีวิตตอนเรียนครับ ไม่ใช่คนรอบข้าง
. - ไม่กลัวที่จะรับความเสี่ยงที่ประเมินแล้ว
การสมัครมหาวิทยาลัยระดับโลก คือความเสี่ยงในตัวมันเองอยู่แล้ว ด้วย Acceptance Rate ที่อยู่ประมาณ 4% (สมัคร 100 คน คัดออก 96 คน) ลูกอาจสอบไม่ติด และเสียเงินค่าสมัครไปหลายที่ ทั้งที่ทุ่มเทเต็มที่แล้ว แต่คนจิตใจเข้มแข็งจะไม่มองแค่ความกลัวจนไม่กล้าสมัคร แต่พวกเขาจะคำนวณความเสี่ยงด้วยแผนรองรับ เช่น ประเมินแล้วว่าแต่ละมหาวิทยาลัยชอบคนแบบไหน? วิเคราะห์ว่าตัวเองต่างจากคู่แข่งอย่างไร? วางแผนสมัครหลายๆ ที่ โดยวิเคราะห์ Profile และ Test score ของตัวเอง เพื่อแบ่ง Tier ในการสมัครเป็น Reach, Match, และ Safety school เป็นต้น
.
หาก 6 ข้อแรกนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกของคุณพ่อคุณแม่ สามารถแสดงความคิดเห็น หรือสอบถามเพิ่มเติมใน Comment ได้เลยครับ
.
หากมีประเด็นใดที่ต้องการให้ผมขยายความเพิ่มเติม ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
.
ในบทความถัดไป ผมจะมาแบ่งปันอีก 7 ข้อที่เหลือ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้กัน สามารถติดตามต่อได้เร็วๆ นี้นะครับ
.
🧑🎓🎓อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่🔽
https://lin.ee/5LArdAx หรือ Add Line OA: @everlearnx
.
📌ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
.
🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก