คนสอบติด Ivy League มีอะไรเหมือนกัน?

Study Abroad FAQs, Study in US

July 14, 2025

“คนสอบติด Ivy League มีอะไรเหมือนกัน?”
.
สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้อ่านบทความหนึ่งของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ เจ้าของเพจ Mission To The Moon เรื่อง “คนเก่งมีอะไรเหมือนกัน” จึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้ตกผลึกว่า แล้วนักเรียนของ EverLearnX ทุกคนที่สอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น Ivy League, Oxford, Cambridge มีอะไรเหมือนกันบ้าง จนพบว่าพวกเขา …
.
ไม่ใช่แค่ Profile ดี หรือคะแนนสอบสูง
ไม่ใช่แค่โชคดี หรือมี Network/Connection ของคุณพ่อคุณแม่ช่วย
แต่เป็นนิสัยบางอย่างเล็กๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอต่างหาก
.
สิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน กลับเป็นสิ่งที่แยกผู้ที่สอบติดออกจากผู้ที่เกือบสอบติด ผมสรุปออกมาได้ 4 ข้อ ดังนี้
.

  1. คนสอบติด คือ คนที่ออกแบบชีวิตตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ
    ไม่ใช่แค่คนเก่งเท่านั้นที่สอบติด แต่คือคนที่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นใครในอนาคต และยอมลงทุนกับชีวิตตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ
    ตัวอย่างเช่น น้องดรีม (นามสมมติ) ที่สอบติดปริญญาตรีด้าน Robotics & Artificial Intelligence ที่ Carnegie Mellon University
    .
    ตอน ม.3 น้องดรีมได้ไปเข้าค่าย Robotics Camp ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และได้ลองเขียนโปรแกรมควบคุมแขนกลครั้งแรก แล้วมันขยับได้จริง นั่นทำให้น้องตื่นเต้นมากและเริ่มสนใจโลกของ AI และหุ่นยนต์ทันที
    .
    จากนั้นน้องดรีมจึงเริ่มออกแบบชีวิตใหม่ เช่น เรียน Python ด้วยตัวเองจาก YouTube และ Udemy, เข้าร่วมการแข่งขันออกแบบหุ่นยนต์ของโรงเรียน (แม้ยังแพ้ในรอบแรก แต่ได้เรียนรู้เยอะมาก), ทำ Self Project เล็กๆ เช่น โปรแกรม Chatbot สำหรับใช้ตอบคำถามนักเรียนใหม่ในโรงเรียนตัวเอง, อ่านหนังสือและฟัง Podcast เกี่ยวกับ AI เป็นต้น
    .
    แม้จะไม่ได้เรียนในโรงเรียนอินเตอร์ที่มีช่องทางทำกิจกรรมนอกเวลาต่างๆ พอสมควร แต่น้องดรีมใช้เวลาหลังเลิกเรียนและเสาร์-อาทิตย์ในการต่อยอดความรู้ด้วยตัวเองและทำสิ่งที่จับต้องได้จริงตลอด 3 ปี ทำให้มหาวิทยาลัยระดับโลกเห็นทั้ง Passion, ความพยายาม และความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม
    .
    สุดท้ายน้องดรีมสอบติดสาขาและโรงเรียนในฝันครับ
  2. คนสอบติด คือ คนที่ไม่พึ่งแรงบันดาลใจ แต่ใช้ระบบเป็นตัวขับเคลื่อน
    แรงบันดาลใจอาจทำให้ลูกของเราได้เริ่ม แต่ระบบจะทำให้ลูกของเราไปถึงเส้นชัย
    .
    สำหรับน้องๆ หลายคน เวลาสอบ SAT, A-Level, IB, AP ช่วงแรกมักจะฮึกเหิมมาก แต่พอเหนื่อย ก็หยุด แล้วกลับมาใหม่ แล้วหายไปอีก กลายเป็นเดี๋ยวตั้งใจ เดี๋ยวไม่ตั้งใจ
    .
    ในขณะที่น้องๆ ที่สอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลก มักสร้างระบบที่ทำให้เรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เริ่มจากคิดว่าตัวเองเป็นคนมีสมาธิที่สุดตอนเช้าหรือตอนกลางคืน แล้วก็วางตารางอ่านหนังสือไว้ในเวลานั้นๆ ทุกวันไม่มีเว้น, มีกล่องปิดเอาไว้เก็บโทรศัพท์เวลาต้องอ่านหนังสือ, พก Flash Card ไว้ในกระเป๋าทุกวันไว้อ่านเวลาเดินทาง, หา Tutor เพื่อบังคับให้เราต้องฝึก ต้องไปเรียน ไม่งอแง เป็นต้น
    .
    ระบบพวกนี้ จะทำให้ลูกของเราไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ผลัด ไม่หนี ไม่มีคำว่า “เอาไว้ก่อน” หรือ “วันนี้เหนื่อย” เพราะระบบมันพาเดินหน้าให้เอง คุณพ่อคุณแม่ลองใช้วิธีนี้ช่วยลูกในการเตรียมสอบดูครับ ผมมั่นใจว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปในเวลาไม่นาน
    .
  3. คนสอบติด คือ คนที่ดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเอง
    คุณพ่อคุณแม่หลายคนคิดว่าการให้ลูกสอบติดมหาวิทยาลัยระดับโลก ลูกต้องอ่านหนังสือให้หนัก ติวให้เยอะที่สุด ทำกิจกรรมให้แน่นที่สุด จริงจังกับการเขียน Application หรือใบสมัครในส่วนต่างๆ ให้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่แยกคนที่สอบติดออกจากคนที่สอบไม่ติด มักไม่ใช่คนที่หักโหม แต่เป็นคนที่ดูแลร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างดีต่างหาก
    .
    คนที่สอบติด มักเป็นคนที่รู้จักจัดการพลังชีวิตของตัวเองอย่างดี คนเหล่านี้ ไม่ใช้ชีวิตแบบหมดแรงต่อเนื่องหลายๆ วัน ไม่หักโหมจน Burnout แต่มีวินัยใน 4 เรื่องสำคัญ ทั้งการนอน การกินอาหารที่ดี การออกกำลังกาย และรู้วิธีจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
    .
    คนที่สอบติด รู้ว่าพลังงานกายและใจคือต้นทุนที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวสมัคร เพราะส่งผลต่อสมาธิในการสอบ การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ในการเขียน Essay … คนที่พังจากภายใน ไม่มีวันสอบติด
    .
    คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตมั้ยครับ ว่าทำไมบางครั้ง ลูกของเราไปสอบ SAT แล้วคะแนนแต่ละครั้งแตกต่างกันมาก บางครั้งคะแนนตกลงเยอะจากครั้งก่อนหน้าด้วย ทั้งที่ลูกของเราก็ตั้งใจเรียนรู้เตรียมสอบอย่างต่อเนื่อง ผมขอยกตัวอย่างของน้องแคท (นามสมมติ) ที่สอบติดปริญญาตรีด้าน Business Analytics ที่ University of Michigan, Ann Arbor
    .
    ช่วงเทอมปลายของ Year 11 น้องแคทตั้งเป้าไว้ชัดเจนว่าอยากไปเรียนต่อ Michigan จึงเริ่มจริงจังกับการสอบ SAT แต่พอน้องเริ่มติวเข้มจริงจัง กลับพบว่า แม้จะอ่านหนังสือหนักมาก วันธรรมดาอ่าน 3 ชั่วโมง, เสาร์-อาทิตย์นั่งโต้รุ่ง คะแนน SAT กลับไม่ขึ้น แถมยังรู้สึกเหนื่อย สมองเบลอ และเริ่มหมดกำลังใจ
    .
    พี่เมฆและทีม EverLearnX เลยชวนน้องและคุณพ่อคุณแม่มานั่งวางแผนระบบการดูแลพลังงานชีวิตใหม่หมด เริ่มจากปรับเวลาอ่านหนังสือให้สมดุลขึ้น ไม่ติวจนหักโหม, กำหนดเวลาเข้านอนให้ไม่เกิน 4 ทุ่ม, ทานอาหารดีๆ มีประโยชน์, ออกกำลังกายเป็นประจำ และหากเครียด ก็ให้น้องฟังเสียงธรรมชาติหรือเพลงผ่อนคลายแทนการเล่นมือถือ
    .
    หลังจากเปลี่ยน Lifestyle ผลคะแนน SAT ของน้องแคทเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด น้องเลยสามารถใช้คะแนนนี้ประกอบกับใบสมัครที่โดดเด่น จนสอบติดมหาวิทยาลัยในฝันได้สำเร็จครับ
    .
  4. คนสอบติด คือ คนที่มี “Quiet Time”
    Bill Gates ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในแต่ละปี ปลีกวิเวกในกระท่อมกลางป่า ไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ ทั้ง Computer และมือถือ ทุกอย่างเป็น Analog หมด เพื่อใช้เวลาที่อยู่คนเดียวในการ Reflect ตัวเอง อ่านหนังสือ ทำสมาธิ จนหลายๆ ครั้งเขามักกลับมาพร้อมไอเดียที่ยิ่งใหญ่แก่ Microsoft
    .
    คนที่สอบติด Ivy League และมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกหลายๆ คนก็ทำลักษณะคล้ายกัน คุณพ่อคุณแม่คงไม่จำเป็นต้องหา Resort ปลีกวิเวกกลางป่าแบบ Bill Gates ให้ลูก แต่ขอให้สนับสนุนลูกให้ใช้เวลาเงียบๆ ในแต่ละสัปดาห์ อยู่กับตัวเอง ปิดโทรศัพท์ ปิด Computer แล้วถามตัวเองว่า
  • ทำไมเราอยากเรียนสาขานี้?
  • อาชีพที่อยากทำคืออะไร? เพราะอะไร?
  • ทำไมอยากเรียนมหาวิทยาลัยนี้?
  • จุดขายของเราคืออะไร?
  • จุดอ่อนของเราคืออะไร?
  • เราจะ Contribute อะไรให้มหาวิทยาลัย?
  • และอื่นๆๆ
    แล้วก็มา Brainstorm กันกับพี่ๆ EverLearnX อย่างต่อเนื่อง พร้อมรับการบ้านสำหรับสัปดาห์ถัดไป ซึ่งคำตอบเหล่านี้ที่น้องๆ และพี่ๆ EverLearnX ช่วยกันคิดนี่แหละ ที่ทำให้ Essay และใบสมัครของน้องทรงพลังและมีชีวิต ไม่ใช่เขียนให้ภาษาสวย แต่ไร้หัวใจ
    .
    กล่าวโดยสรุป สิ่งที่คนสอบติด Ivy League, Oxford, Cambridge, และมหาวิทยาลัยชั้นนำมีเหมือนกัน คือคนเหล่านี้เตรียมพร้อมมาก่อนล่วงหน้าเนิ่นๆ โดยมีการ Set ระบบดูแลร่างกาย จิตใจ ให้สมดุล ซึ่งถ้าวันนี้ ลูกของเรายังไม่ได้เริ่ม ก็เริ่มได้เลย เราสามารถสนับสนุนลูกให้เปลี่ยน Default ของชีวิตทีละนิด จากที่ใช้ชีวิตไปวันๆ กลายเป็นคนที่ออกแบบระบบให้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย จากที่ไม่เคยดูแลสุขภาพ ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญ จากที่มี Distraction มากมาย ก็เริ่มหาเวลาอยู่กับตัวเอง
    .
    ในไม่ช้า ลูกของเราจะต้องสอบติดได้ตามความฝันครับ
    .
    แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหน ผมและ EverLearnX ก็ยินดีช่วยคุณพ่อคุณแม่ออกแบบเส้นทางชีวิตที่เหมาะสมให้แก่ลูกนะครับ
    .
    🧑‍🎓💼อยากให้ลูกได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝัน? สามารถปรึกษาฟรีเพื่อวางแผนการสมัครได้ที่🔽
    https://lin.ee/5LArdAx หรือ Add Line OA: @everlearnx
    .
    📍ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.everlearnx.com
    .
    🏆การันตีความสำเร็จโดยพี่ๆ ที่เคยติด Harvard, Stanford, Wharton, MIT, Columbia, UCLA, Oxford, Cambridge ช่วยแนะแนวทางให้ลูกแบบเจาะลึก

Related post

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด

“เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด”.เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้อ่านหนังสือชื่อ “HOME RUN แพ้กี่ครั้งไม่สำคัญ ขอตีโฮมรันครั้งเดียวพอ” ของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ ในตอนหนึ่ง พี่โจ้เล่าถึงเรื่อง Why us ของธุรกิจสินเชื่อกระเป๋าแบรนด์เนม bagforcash พร้อมกับบอกว่า “เขียน Why us ไม่ได้ เตรียม Why วอด”.ทันทีที่ผมอ่านตอนนี้จบ ผมนึกถึงน้องๆ ที่กำลังจะสมัครเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Harvard, MIT, Stanford, Oxford, Cambridge ขึ้นมาทันทีเลยครับ.เพราะมหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้มองหาคนมาจ่ายเงินค่าเทอมมา “รับ” ความรู้และ Network ดีดีอย่างเดียว ถ้าต้องการแค่เงิน ผู้สมัครคนไหนก็ให้ได้ แต่มหาวิทยาลัยเหล่านี้มองหาคนที่จะมา “ให้” ต่างหาก เช่น ให้ความรู้เพื่อนร่วมชั้น ให้แรงบันดาลใจเพื่อนร่วมชั้น สร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้แก่มหาวิทยาลัย ทั้งตอนเป็นนักเรียน และหลังเรียนจบไปแล้ว.คนแบบนี้ต่างหาก ที่ทำให้มหาวิทยาลัยยังมีคุณค่าต่อไปในโลกอนาคต และนั่นคือเหตุผลที่มหาวิทยาลัยระดับโลกจะถามคำถามในส่วนของ Supplemental…

Learn more

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร

“เจอ Bill Gates อยากบอกอะไร?”.คุณพ่อคุณแม่ลองจินตนาการตามผมนะครับ ถ้าลูกของเรามีโอกาสยืนอยู่ในลิฟต์กับ Bill Gates หนึ่งในคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกมากที่สุดในยุคนี้ เขาหันมายิ้มให้ลูก ทักทาย แนะนำตัว พร้อมถามสั้น ๆ ว่า “Please tell me a bit about yourself.” ซึ่งอีก 10 วินาทีลิฟต์จะถึงที่หมาย ลูกเราจะพูดว่าอะไรดีครับ?.“ผมเรียนเก่งครับ ได้ GPA 4.0 ทุกเทอม”“หนูเป็นหัวหน้า 3 ชมรม ทำกิจกรรมเยอะค่ะ”“ผมเป็นตัวแทนแข่งวิทยาศาสตร์ระดับชาติครับ”.ฟังดูดีหมดเลยครับ แต่มันยังไม่ทำให้เขาจำลูกของเราได้เลย เพราะประโยคเหล่านั้น ยังไม่แสดงว่า “ตัวตน” ของลูกคืออะไร?.ประโยคเหล่านั้น คือข้อมูล แต่ไม่ใช่เรื่องเล่า ประโยคเหล่านั้น คือสิ่งที่ทำ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เป็น.Harvard ระดับ Undergrad ล่าสุดมีผู้สมัครประมาณ 60,000 คน ได้ตอบรับเข้าเรียนประมาณ 1,900 คน หรือประมาณ 3.2% เท่านั้น มหาวิทยาลัยระดับโลกเหล่านี้ มีกรรมการคัดเลือก…

Learn more

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน

“อวสาน ! คนมีดีแค่คะแนน”.เมื่อคะแนนอย่างเดียวมันไม่พออีกต่อไปในโลกของการเรียนต่อระดับโลก.ลองจินตนาการดูนะครับ ลูกเราได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยในฝัน Top 10 ของโลก เพื่อนๆ ในคลาสคือ คนที่ A-Level, IB, AP เกือบเต็ม และ SAT สูงมากๆ ระดับ 1,550++.แต่ไม่มีใครคุยกันเลย.เช้าเข้าเรียน เรียนเสร็จกลับห้อง ในห้องเรียนไม่มีใครตั้งคำถาม ไม่มีใคร Discuss ไม่มีใครลุกขึ้นมา Propose idea ใดๆ ให้อาจารย์ กิจกรรมของชมรมต่างๆ เงียบเหงา ไม่มีคนจัด Event ไม่มีใครทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือสอบ.แล้วจบออกมา คนเหล่านั้นก็เก่งอยู่คนเดียว ไปทำงานเงียบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้สร้างอะไรให้สังคม ไม่ได้ Inspire ใคร ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้น.ฟังดูน่าเศร้าใช่ไหมครับ?.และนี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลย.มหาวิทยาลัยไม่ได้มองหาคนเก่งที่สุด แต่เขามองหาคนที่เก่งพอประมาณ แต่ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้คนรอบข้างดีขึ้น มารวมกลุ่มเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มหาวิทยาลัย.มหาวิทยาลัยจึงอยากได้นักเรียนที่มี Sense of contribution เช่น นักเรียนที่เข้าเรียนแล้วมีส่วนร่วมใน Class, นักเรียนที่สร้าง Club สร้าง Activity…

Learn more