ส่งลูกเรียนต่างประเทศ ที่ไหนดี? เปรียบเทียบ US vs UK

Study Abroad FAQs, Study in UK, Study in US

มิถุนายน 8, 2025

คำถามของหลายครอบครัวที่กำลังมองหาที่เรียนในอนาคตให้กับลูก คือ “จะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศที่ไหนดี?” บางบ้านอาจเลือกจากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว การเลือกที่ “ใช่” ไม่ได้มีแค่เรื่องชื่อเสียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อให้ลูกได้ไปเรียนในที่ที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ

ประเทศยอดนิยมในการเรียนต่อระดับปริญญาตรี

ในบทความนี้ EverLearnX ขอยกตัวอย่าง 2 ประเทศยอดฮิตที่หลายครอบครัวมักลังเลระหว่างกัน นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา (US) กับ สหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งต่างก็มีมหาวิทยาลัยระดับโลกให้เลือกมากมาย 

สหรัฐอเมริกา (US)

สหรัฐอเมริกา เหมาะกับน้องๆ ที่ยังค้นหาตัวเอง ยังไม่แน่ใจว่าอยากเรียนอะไร เพราะระบบการศึกษาเปิดกว้าง มีการเรียนวิชาทั่วไปหลากหลายก่อนเลือกเมเจอร์และเปลี่ยนสาขาระหว่างเรียนได้

นอกจากนี้ยังเน้นกิจกรรม ชมรม กีฬา และการสื่อสารเหมาะกับสายคิดวิเคราะห์ที่ชอบพูด ชอบพรีเซนต์ และอยากลองอะไรใหม่ๆ

สหราชอาณาจักร (UK)

มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร เหมาะกับน้องๆ ที่รู้เป้าหมายชัดเจนแล้วว่าอยากเรียนอะไร เพราะเรียนสาขาที่เลือกตั้งแต่ปีแรกด้วยหลักสูตรเข้มข้น จบไวใน 3 ปี

เน้นการเรียนเชิงลึก และมีโอกาสทำวิจัยเหมาะกับสายเน้นวิชาการ อยากโฟกัสเรื่องเรียนจริงจัง และอยากจบเร็วเพื่อไปทำงานหรือต่อยอดในอนาคต

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกประเทศ

1. ระบบการศึกษา

  • US: ระบบการศึกษาที่นี่เปิดกว้างมาก เด็กๆ จะได้เรียนวิชาทั่วไปก่อน (เช่น คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ) แล้วค่อยเลือกสาขาหลักตอนปี 2 หรือ 3 ทำให้เหมาะกับน้องๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าชอบอะไร เพราะมีโอกาสได้ลองก่อน
  • UK: ถ้าน้องรู้ตัวว่าชอบหรืออยากเรียนอะไรชัดเจนตั้งแต่แรก UK จะตอบโจทย์มาก เพราะเรียนเฉพาะในสาขาที่เลือกเลยตั้งแต่ปีแรก เช่น ถ้าเลือก “วิศวกรรม” ก็จะเริ่มลุยเรียนสายวิศวะตั้งแต่เทอมแรกเลย

2. ระยะเวลาหลักสูตร

  • US: ใช้เวลาเรียน 4 ปี เพราะเน้นการปูพื้นฐานให้แน่นก่อน แล้วจึงเลือกเมเจอร์ (Major) หรือวิชาเอกที่สนใจ
  • UK: ใช้เวลาเรียนเพียง 3 ปี (ยกเว้นบางหลักสูตร เช่น แพทย์ หรือวิศวะที่อาจนานกว่า) เนื่องจากเรียนเฉพาะสาขาที่เลือกตั้งแต่เริ่มต้น เรียนจบไว เหมาะกับคนที่อยากเริ่มทำงานเร็ว

3. งบประมาณโดยประมาณ

  • โดยรวม US จะมีค่าเรียนและค่าครองชีพสูงกว่า UK เล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ก บอสตัน หรือซานฟรานซิสโก แต่ก็แลกกับโอกาสทางอาชีพและเครือข่ายที่หลากหลาย
  • UK แม้ค่าเรียนอาจไม่ต่างกันมาก แต่เรียนจบใน 3 ปี ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ 1 ปี ทั้งค่าเทอมและค่าครองชีพ รวมถึงบางเมืองใน UK ก็มีค่าครองชีพที่ถูกกว่าลอนดอนอีกด้วย

4. ความปลอดภัย & สภาพแวดล้อม

ทั้งสองประเทศมีเมืองที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อนักเรียนนานาชาติอยู่มาก แต่ก็มี คาแรคเตอร์ ต่างกัน

  • US: เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก นักเรียนต่างชาติสามารถเจอเพื่อนจากทั่วโลก มีอิสระในการแสดงออก และกิจกรรมในมหาวิทยาลัยก็จัดเต็ม
  • UK: มีความคลาสสิก เป็นระบบ และมักเน้นเรื่องมารยาท ความเรียบร้อย ทำให้น้องๆ ที่ชอบความเรียบง่าย มีระเบียบ อาจปรับตัวได้ง่ายกว่า

สรุปง่ายๆ ว่า ถ้ายังไม่รู้ชัดว่าอยากเรียนอะไร หรืออยากได้ประสบการณ์ที่เปิดกว้าง US อาจจะเหมาะ แต่ถ้าลูกมีเป้าหมายชัดเจน อยากเรียนลึกและจบเร็ว UK ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก

สิ่งสำคัญคือควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ร่วมกับความต้องการและเงื่อนไขอื่นๆ ของน้องเองด้วย

วิธีเลือกให้เหมาะกับตัวน้อง

จะให้การเรียนต่างประเทศคุ้มค่าในทุกด้านที่สุด ต้อง “เลือกที่เหมาะกับลูก ไม่ใช่เลือกที่ดีที่สุดในสายตาคนอื่น” เพราะแม้มหาวิทยาลัยจะติดอันดับโลก แต่ถ้าไม่เข้ากับตัวน้องจริงๆ ก็อาจทำให้เรียนไปแบบไม่มีความสุข หรือไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ ลองพิจารณาจาก 3 มุมนี้ดูนะ

1. พิจารณาความสนใจและเป้าหมายของลูก

เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ว่า

  • ลูกสนใจเรียนอะไร? ชอบสายวิทย์ สายศิลป์ หรือชอบทั้งคู่?
  • มีเป้าหมายในอาชีพไหม เช่น อยากเป็นหมอ วิศวกร นักออกแบบ นักธุรกิจ ฯลฯ
  • อยากเรียนแบบเน้นภาคทฤษฎี หรืออยากเรียนแบบลงมือทำ?

คำถามเหล่านี้จะช่วยชี้ทางว่าควรมองหาหลักสูตรหรือประเทศที่ถนัดด้านนั้นๆ และ Match กับความต้องการของลูก

2. วิเคราะห์ความ “Fit” กับมหาวิทยาลัย

ไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยจะเหมาะกับทุกคน บางแห่งเน้นความเป็นอิสระ ให้นักศึกษาออกไอเดียเอง บางแห่งเน้นระบบและวินัย

  • มหาวิทยาลัยมีรูปแบบการเรียนการสอนแบบไหน? Lecture เยอะไหม? มีการเรียนกลุ่มหรือการลงมือปฏิบัติมากแค่ไหน?
  • มีสาขาที่ลูกสนใจไหม? อาจารย์ในสาขานั้นมีชื่อเสียงหรือเปล่า?
  • สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัย เข้ากับบุคลิกของลูกหรือไม่ เช่น ถ้าลูกชอบความเงียบสงบ มหาวิทยาลัยในเมืองเล็กอาจเหมาะกว่าเมืองใหญ่

3. วิเคราะห์ความพร้อมด้านภาษา/การใช้ชีวิต

เรียนต่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน แต่ยังรวมถึงการปรับตัวในชีวิตประจำวันด้วย ควรพิจารณาร่วมกันในครอบครัวว่า ลูกมีพื้นฐานภาษาอังกฤษในระดับไหน? ถ้ายังไม่แข็งแรงพอ ต้องเตรียมตัวเสริมก่อนหรือไม่ รวมถึงเรื่องของการพร้อมรับมือกับการใช้ชีวิตคนเดียวในต่างประเทศ เช่น ทำอาหารเอง จัดการเวลา ดูแลตัวเองในเวลาป่วย และถ้าลูกเป็นคนชอบอยู่กับเพื่อนหรือชอบความอบอุ่น การเลือกประเทศที่มีชุมชนไทยเยอะหรือมีคนรู้จักอยู่ด้วยอาจช่วยให้ปรับตัวง่ายขึ้น

แล้วสาขาที่โดดเด่นของแต่ละประเทศคืออะไร?

ลองมาดูอันดับมหาวิทยาลัยจาก QS World Rankings 2025 ที่จัดอันดับตามสาขาวิชายอดนิยม เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจ

Top US Universities by Subject

1. Finance
หากลูกสนใจด้านการเงิน มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่โดดเด่นในสาขานี้ ได้แก่ Harvard, MIT, Stanford, University of Chicago และ UC Berkeley ซึ่งล้วนเป็นสถาบันระดับโลกที่มีหลักสูตรการเงินเข้มข้นและโอกาสฝึกงานในบริษัทชั้นนำของโลก

2. Economics
สายเศรษฐศาสตร์สามารถพิจารณา Harvard, MIT, Stanford, Chicago และ Princeton ซึ่งขึ้นชื่อเรื่ององค์ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เชิงทฤษฎีและการวิเคราะห์เชิงลึก รวมถึงเชื่อมโยงกับงานวิจัยระดับนานาชาติ

3. Data Science / Analytics
หากลูกสนใจด้านข้อมูลและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับสูงในสาขานี้คือ MIT, Carnegie Mellon, UC Berkeley, Harvard และ Yale ซึ่งเป็นผู้นำด้าน AI, Machine Learning และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

4. Engineering
สายวิศวกรรมก็มีทางเลือกยอดเยี่ยม เช่น MIT, Stanford, UC Berkeley, Harvard และ Caltech ที่ขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี และการวิจัยระดับแนวหน้า

5. Politics / International Relations
หากสนใจด้านการเมือง การปกครอง หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Harvard, Princeton, Stanford, Yale และ UC Berkeley คือมหาวิทยาลัยที่ผลิตผู้นำระดับโลกมาแล้วมากมาย

6. Art & Design
สำหรับน้อง ๆ ที่มีความสนใจในสายศิลปะและการออกแบบ สถาบันที่น่าจับตามองคือ The New School, RISD, MIT, Pratt Institute และ SAIC (School of the Art Institute of Chicago) ซึ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงครีเอทีฟทั่วโลก

Top UK Universities by Subject

1. Finance
ถ้าลูกสนใจสายการเงิน มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรที่ติดอันดับสูง ได้แก่ Oxford, Cambridge, LSE (London School of Economics), London Business School (LBS) และ Imperial College London ซึ่งล้วนมีความเชี่ยวชาญในด้านเศรษฐศาสตร์ การลงทุน และการจัดการการเงินระดับโลก

2. Economics
สายเศรษฐศาสตร์เป็นอีกหนึ่งสาขาที่แข็งแรงใน UK โดยเฉพาะที่ LSE, Oxford, Cambridge, UCL และ LBS ซึ่งเน้นการวิเคราะห์นโยบายและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มีเครือข่ายศิษย์เก่าที่เข้มแข็งในวงการรัฐบาลและองค์กรโลก

3. Data Science / Analytics
หากลูกสนใจด้านการวิเคราะห์ข้อมูล มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นได้แก่ Oxford, Imperial, UCL, Edinburgh และ King’s College London ที่มีชื่อเสียงทั้งด้านเทคโนโลยี AI และการวิจัยระดับลึกด้านข้อมูล

4. Engineering
สายวิศวกรรมใน UK ก็มีทางเลือกที่แข็งแรง เช่น Oxford, Cambridge, Imperial, Manchester และ UCL ที่เน้นทั้งภาคทฤษฎีและการวิจัยนวัตกรรม พร้อมโอกาสเชื่อมต่ออุตสาหกรรมจริง

5. Medical / Health Sciences
สำหรับสายแพทย์หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ Oxford, Cambridge, Imperial, UCL และ King’s College London เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้านงานวิจัยทางการแพทย์และหลักสูตรที่เข้มข้น

6. Art & Design
หากลูกสนใจด้านศิลปะและการออกแบบ UK ถือเป็นแหล่งรวมสถาบันชื่อดัง เช่น Royal College of Art, UAL (University of the Arts London), Glasgow School of Art, Oxford และ Cambridge ซึ่งเหมาะกับสายครีเอทีฟที่อยากสร้างผลงานระดับสากล

7. Law / กฎหมาย
สาขากฎหมายใน UK มีความเก่าแก่และทรงอิทธิพล มหาวิทยาลัยเด่น ได้แก่ Oxford, Cambridge, LSE, UCL และ King’s College London ซึ่งมีศิษย์เก่าเป็นผู้นำประเทศ นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญในองค์กรระดับโลกมากมาย

การเลือกมหาวิทยาลัยที่เหมาะกับตัวน้อง ไม่ใช่แค่เรื่องการสอบติดหรือชื่อเสียง แต่คือการวางแผนชีวิตให้เดินไปในทางที่ใช่ และมีความสุขระหว่างทางด้วย

EverLearnX ช่วยอะไรได้บ้าง

หากพ่อแม่และน้องๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มตรงไหนดี ลองให้ EverLearnX ช่วยวิเคราะห์โปรไฟล์ของน้องเพื่อเลือกประเทศที่เหมาะสม พร้อมแนะนำหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่ “ใช่” สำหรับแต่ละคน

เราพร้อมดูแลตั้งแต่การเตรียมตัว เรียงความ ไปจนถึงการสมัคร ปรึกษาเส้นทางสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำแบบ Personalised สนใจปรึกษาเพิ่มเติม ทักหาเราได้ที่ Line OA: @everlearnx

Related post

Study in US

Ivy League เข้ายากไหม? เด็กไทยมีโอกาสสอบติดหรือเปล่า

น้องๆ หลายคนที่ได้ยินคำว่า "Ivy League" แล้วอาจจะรู้สึก…

อ่านต่อ

Study in US

7 เมืองน่าอยู่ในอเมริกา ที่น่าไปเรียนต่อ ป. ตรี

ทำไมอเมริกาถึงน่าเรียนต่อ? เมืองน่าอยู่ในอเมริกาสำหรับเ…

อ่านต่อ

Study in UK

แนะนำ 6 เมืองน่าอยู่ในอังกฤษ เพื่อไปเรียนต่อ ป. ตรี ที่อังกฤษ

แนะนำ 6 เมืองน่าอยู่ในอังกฤษสำหรับนักเรียนไทย เมืองในอั…

อ่านต่อ